Gensui4 Novel-1-04

จาก SuikoFriendWiki, สารานุกรมฟรี

Jump to: navigation, search

4-1


ตอนที่ผมวิ่งไปถึง หัวหน้ากองก็เหลือแค่ลมหายใจรวยรินแล้วครับ ส่วนลาสโลยืนนิ่งอยู่ห่างจากหัวหน้ากองนิดหน่อย

ผมพยายามจะช่วยประคองหัวหน้ากองขึ้นมา แต่ก็สายไปซะแล้ว คำพูดของหัวหน้ากอง ผมจำไม่ค่อยได้หรอกครับ.... แต่คิดว่าท่านเอ่ยชื่อลาสโลออกมาด้วย รู้สึกว่าท่านจะด่าลาสโลว่าเจ้าบ้าน่ะครับ

ผมว่า บางทีทั้งสองคนคงจะมีปากมีเสียงเรื่องอะไรกันครับ ถ้าเป็นเวลาปกติล่ะก็ หัวหน้ากองไม่มีทางเสียทีให้ลาสโลแน่ครับ แต่ว่าหัวหน้ากองยังบาดเจ็บอยู่ ร่างกายก็ยังไม่สมบูรณ์ดี

พอหัวหน้ากองสิ้นใจ ลาสโลก็ล้มลงพอดี แล้วหัวหน้ากอง.... หัวหน้ากองก็หายไปต่อหน้าต่อตาผมเลยครับ ใช่ครับ ร่างท่านกลายเป็นเหมือนกับฝุ่นสีดำ..... แล้วก็หายไปเลยครับ

ฟังดูแล้วอาจจะไม่น่าเชื่อ แต่ว่าผมไม่มีวันพูดโกหกแน่นอนครับ ผมสาบานเลย ร่างของหัวหน้ากองสลายหายไปต่อหน้าผมจริงๆ ครับ ผมเองก็จินตนาการไม่ออกเหมือนกันว่า.... ลาสโลใช้เวทมนตร์แบบไหนกันแน่

++++

ลาสโลยืนอยู่ในแสงสีน้ำเงินอมม่วง

ไม่มีทั้งด้านบนหรือด้านล่าง ด้านซ้ายหรือด้านขวา เขาเพียงก้าวเดินไปเรื่อยๆ ในห้วงเวลาอันกว้างใหญ่และว่างเปล่านี้

ร่างกายเขาไร้ซึ่งน้ำหนัก รู้สึกประหลาดราวกับว่าแขนขาของตนยืดยาวออกถึงสุดขอบโลก ในสภาพที่ไม่รู้สึกมั่นคงเช่นนั้น ลาสโลพยายามรวบรวมสติสัมปชัญญะ ประสาทการรับรู้ของตน

แล้วเขาก็มองเห็นว่า มิติที่ดูราวกับว่าทอดยาวออกไปไม่มีที่สิ้นสุดนี้ มีจุดซึ่งมาบรรจบกันอยู่จุดหนึ่ง ลาสโลเพ่งสมาธิไปที่นั้น ที่ซึ่งมีแสงสว่างอยู่รวมกัน ตำแหน่งซึ่งมีพลังมหาศาลไหลเวียน


ลัคซี่

เสียงที่ดังขึ้น เป็นเสียงที่เขาไม่คาดคิดว่าจะได้ยิน เป็นเสียงฟังดูมีความสุขของชายคนหนึ่ง


ดูแลแม่ด้วยล่ะ
อื้อ! แล้วรีบกลับมานะฮะ พ่อ
รีบไปรีบกลับนะคะ ระวังตัวด้วยล่ะ

เสียงที่เอ่ยตอบ เป็นเสียงของเด็กกับผู้หญิง ภาพครอบครัวที่มีความสุขลอยขึ้นมาในหัวของลาสโล

ชายคนแรกเอ่ยด้วยน้ำเสียงร่าเริง


เตรียมรอได้เลย เพราะวันนี้พ่อจะตกปลาตัวใหญ่กลับมาแน่ๆ!

เสียงร้องยินดี กับเสียงหัวเราะของผู้หญิงดังขึ้นพร้อมกัน

นี่มัน อะไรกัน? นี่ไม่ใช่ความทรงจำของลาสโล เขากำลัง สัมผัสกับความคิดของใครบางคน....?

แล้วก็มีเสียงของผู้ชายดังขึ้นอีก ดูเหมือนว่าจะเป็นคนๆ เดียวกับเสียงที่เขาได้ยินตอนแรก ทว่าน้ำเสียงนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ความโศกเศร้าก้องกังวานอยู่ในเสียงนั้น


ลัคซี่..... รีเกีย..... ขอโทษนะ พ่อคงจะกลับไปไม่ได้ซะแล้ว

ลาสโลรวบรวมสติอีกครั้ง แล้วจึงได้ยินเสียงแผ่วๆ ลอยแว่บมา


ฆ่าฉันที.....

เสียงปนสะอื้น ดังขึ้นร้องวิงวอน


ช่วยฆ่าฉันที...... ขอร้องล่ะ..... ได้โปรด..... ปลดปล่อยฉันซักที

เวลาเดียวกันนั้นเอง ร่างของชายคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าลาสโล

อายุคงยังไม่ถึง 30 ปีดีกระมัง ร่างกายนั้นแม้จะเล็ก แต่ก็ดูแข็งแรงกำยำ ใบหน้าดูเป็นคนอัธยาศัยดี ทว่าเวลานี้ สีหน้าของเขาหมองคล้ำและเหน็ดเหนื่อยอย่างแสนสาหัส


ฆ่าฉันที ฆ่าฉัน......

คำวิงวอนนั้น มุ่งมายังลาสโล เสียงกระซิบอันโศกเศร้านั้น ทิ่มแทงเข้าไปในใจของเขา ลาสโลเกร็งกำลังที่มือขวา แล้วทันในนั้น ดาบก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา

ลาสโลไม่ลังเลใจ เขาเงื้อดาบขึ้น แล้วฟาดลงไปที่ลำคอของชายคนนั้น มือของเขาแทบจะไม่รู้สึกอะไรเลย แต่ร่างของชายคนนั้น ก็ค่อยๆ จางลงไปราวกับควัน และหลังจากนั้นชั่วพริบตา ควันนั้นก็จับตัวเป็นรูปร่างอีกครั้ง

สีหน้าของชายคนนั้นเปลี่ยนไป ไม่ใช่ใบหน้าที่จมอยู่ในความทุกข์ดั่งเช่นเมื่อครู่นี้ ชายคนนั้นยิ้มแย้มแล้วเอ่ยขึ้น


ขอบคุณนะ เท่านี้ฉันก็ได้จะไปสบายซะที ลัคซี่..... ฝากแม่ด้วยนะ.....

แล้วร่างของชายคนนั้น ก็สลายหายไปอย่างไร้ร่องรอย

++++

ลาสโลลืมตาตื่นขึ้นด้วยเสียงเคาะประตู

“ตื่นอยู่รึเปล่า?”

เสียงของคาตาริน่านั่นเอง ลาสโลขยี้ตา แล้วจึงลุกขึ้นนั่ง รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยว่าตนไม่ได้สวมชุดนอนเหมือนตามปกติ แต่เข้านอนทั้งๆ ที่ยังสวมชุดของสมาชิกกองอัศวินซึ่งเปื้อนฝุ่นอยู่ ความทรงจำของเขาดูเลือนราง ทำไมเมื่อวานเขาถึงเข้านอนทั้งๆ อย่างนี้นะ....?

“ครับ”

เขาเอ่ยตอบ และในขณะที่กำลังจะก้าวลงจากเตียงนั้นเอง ความทรงจำก็หลั่งไหลเข้ามาในทันที การโจมตีของโจรสลัด แล้วก็หัวหน้ากองเกล็น

ลาสโลมองดูมือซ้ายของตัวเอง ที่นั้นมีปานซึ่งเมื่อวานนี้ยังไม่เห็นมีปรากฏเด่นอยู่ ตราสัญลักษณ์อันมีลวดลายซับซ้อย คล้ายรูปก้นหอย

เมื่อกุญแจถูกไข คาตาริน่าก็ก้าวเข้ามาในห้อง ตาของเธอแดงก่ำ เหมือนกับเพิ่งร้องไห้มา ทว่าสีหน้านั้นแข็งกระด้างอย่างที่ลาสโลไม่เคยเห็นมาก่อน

“เราตัดสินโทษของเธอแล้ว”

คาตาริน่ากล่าวด้วยน้ำเสียงกระด้าง และก้อมลงมองลาสโล

ลาสโลห่อไหล่ลง

โทษ? เรื่องอะไรกัน

“โทษเนรเทศออกจากประเทศ โดยปล่อยลงเรือเล็กกลางทะเลเพื่อไม่ให้กลับมาที่ราสริลได้อีก เราจะเตรียมอาหารแล้วน้ำพอประทังชีวิตให้ ที่เหลือก็หาทางด้วยตัวเองก็แล้วกัน”

พอลาสโลเงยหน้าขึ้นมองคาตาริน่า เธอก็เบี่ยงศีรษะไปด้านหลัง ราวกับจะเบนสายตาจากสิ่งน่ารังเกียจ

ในที่สุด ลาสโลก็รู้สึกได้ว่าตนต้องโทษเรื่องอะไร เขาเอ่ยถามอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“เอ่อ..... หัวหน้ากองเกล็น..... ล่ะครับ.....?”

ดูเหมือนว่าคำถามนั้น จะยิ่งทำให้ความเกรี้ยวโกรธของคาตาริน่าลุกโชนยิ่งขึ้นไปอีก เธอกล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“การลงโทษจะมีขึ้นตอนเช้าของวันพรุ่งนี้ เธอคงไม่คิดจะหนีไปไหนหรอกนะ แต่ฉันจะขอล็อคกุญแจเอาไว้จากข้างนอกก็แล้วกัน”

คาตาริน่าตั้งท่าจะหันหลังก้าวกลับออกไป แต่ก็เอ่ยเสริมขึ้นราวกับเพื่อระบายความโกรธที่อดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว

“รู้สึกขอบคุณซะนะ ที่อย่างน้อยคอก็ไม่หลุดจากบ่า”

ลาสโลจ้องมองตาของคาตาริน่า นัยน์ตาสีอเมซิสของเธอลุกโชนด้วยความโกรธและความเกลียดชังอย่างรุนแรง ตาคู่นั้นบอกเล่าเรื่องราวได้ชัดเจนยิ่งกว่าคำพูด

หัวหน้ากองเกล็นตายแล้ว ส่วนความผิดนั้น ตกอยู่กับลาสโลที่ไปอยู่ที่นั่นพอดี และคาตาริน่าก็เชื่อว่า ลาสโลเป็นผู้สังหารเกล็น....

ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ ลอยผุดขึ้นในหัว สมองของเขากลายเป็นสีขาวโพลน และคาตาริน่าก็ก้าวออกจากห้องไป

หัวหน้ากองสิ้นไปแล้ว

ความเป็นจริงนั้นใหญ่หลวง และหนักหน่วงแสนสาหัสขนาดที่แย่งชิงเอาความสามารถในการคิดตัดสินใจทั้งหมดของลาสโลไป

หัวหน้ากองให้ความกรุณากับเด็กกำพร้าอย่างเขา เช่นเดียวกับเด็กตระกูลสูงโดยไม่มีการแบ่งแยก เนื่องจากท่าทีที่เข้มงวดอย่างมากของท่าน ทำให้เหล่าอัศวินฝึกหัดยำเกรง ไม่กล้าเข้าใกล้นัก แต่ทุกคนก็เชื่อมั่นในตัวท่านอย่างที่สุด ทั้งทัล ทั้งเคเนส แน่นอนว่ารวมถึงลาสโลและสโนว์เอง เมื่อใดที่พูดคุยกันถึงเรื่องของหัวหน้ากอง น้ำเสียงก็จะร้อนแรงขึ้นเองโดยอัตโนมัติ


อยากจะเป็นลูกผู้ชายอย่างนั้นบ้างจังน้า ลูกผู้ชายในหมู่ลูกผู้ชายที่ใช้ชีวิตอยู่ในท้องทะเล!

คำพูดที่ทัลมักจะพูดติดปากอยู่เสมอลอยขึ้นมาในหัว

เกล็นเป็นคนที่เข้มงวด และอ่อนโยนยิ่งกว่าใครๆ

เมื่อสูญเสียไป จึงได้รู้สึกว่าตัวตนนั้นยิ่งใหญ่เพียงไหน กองอัศวินที่ไม่มีหัวหน้ากอง.... ก็เหมือนกับไม่มีอะไรทั้งสิ้น ถึงจะมีกำลังรบที่ยิ่งใหญ่ พรั่งพร้อมขนาดไหนก็ตามแต่ กองกำลังที่ไร้ซึ่งศูนย์กลาง ก็ดูว่างเปล่าเหลือเกิน

ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นที่ดาดฟ้ากันแน่ ลาสโลเองก็ยังไม่เข้าใจ เขาไม่ได้สังหารเกล็นแน่ๆ แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น จิตใจของเขาก็หวั่นไหว

ตอนที่ลาสโลตั้งท่าจะวิ่งเข้าไป มือซ้ายของเกล็นก็เริ่มเปล่งแสงออกมา.... แล้วแสงนั้นก็ย้ายมาสู่มือซ้ายของลาสโล.... เขาจำเรื่องราวหลังจากนั้นไม่ได้เลยแม้แต่น้อย แต่ชีวิตของหัวหน้ากองอาจจะสั้นลง เพราะเขาฝ่าฝืนคำสั่ง แล้วเข้าไปที่นั่นก็เป็นได้

ลาสโลโอบศีรษะของตนด้วยแขนทั้งสอง ในที่สุดน้ำตาก็เริ่มเอ่อท้นขึ้น

น้ำตาที่หลั่งไหลออกมาแล้วนั้น ไม่ว่าจะเช็ดสักเท่าไร ก็ยังคงไหลออกมาไม่ยอมหยุด


ประตูถูกเคาะอีกครั้ง ในรุ่งเช้าวันต่อมา

ลาสโลรออยู่ในห้องนั้นโดยไม่ได้หลับแม้แต่งีบเดียว เมื่อส่งเสียงตอบเบาๆ บางประตูก็ค่อยๆ แง้มออกกว้าง

ลาสโลคิดว่าคงจะเป็นผู้ควบคุมการลงทัณฑ์ ทว่าที่ก้าวเข้ามานั้นกลับเป็นเคเนสกับพอลล่า พอลล่าสาวเท้าเข้ามาหาลาสโลอย่างรวดเร็ว และกุมมือทั้งสองของเขาไว้แน่น

“ลาสโล ฉันเชื่อค่ะ ว่าเธอไม่มีความผิด”

คำพูดของพอลล่าที่มักจะเงียบงันอยู่เสมอนั้นหนักหน่วง และซึมซาบเข้าสู่หัวใจของลาสโล เคเนสจ้องมองใบหน้าของลาสโลตรงๆ แล้วเอ่ยขึ้น

“อย่าตายล่ะ”

ลาสโลพยักหน้า แล้วเลื่อนสายตาไปยังด้านหลังของทั้งคู่ ทว่าทัลกับจูเอลไม่ได้อยู่ที่นั่น

เมื่อเห็นสีหน้าของลาสโล พอลล่าก็เอ่ยขึ้น

“ทัลกับจูเอล.... กำลังยุ่งค่ะ เพราะฉะนั้นก็เลยมาที่นี่ไม่ได้”

“....ขอบคุณนะ พอลล่า”

เขารู้สึกได้ว่า คำพูดของเธอเป็นคำปดที่อ่อนโยน ลาสโลพยายามจะยิ้ม แต่ก็ทำได้ไม่ดีนัก

ทัลกับจูเอลคงจะเชื่อว่าลาสโลเป็นฆาตกร แล้วก็เกลียดชังเขา ถึงจะอยากพบและพูดคุยกับทั้งสอง แต่ก็คงจะเป็นไปไม่ได้ แม้จะต้องแบกรับความเกลียดชังของคนทั้งกองอัศวินไว้ทั้งหมด หรือถูกด่าทอสาปแช่งอย่างไรก็คงเป็นเรื่องช่วยไม่ได้ ทว่าการที่ต้องถูกทั้งสองเกลียดชังด้วยนั้น มันเจ็บปวดจนอยากจะร้องไห้

“.... แล้วสโนว์เป็นยังไงบ้าง?”

พอลาสโลเอ่ยถามขึ้น ใบหน้าของทั้งพอลล่าและเคเนสก็หมองคล้ำลง

“ถึงปิดเอาไว้ก็คงช่วยอะไรไม่ได้ ดังนั้นฉันจะบอกความจริงนะคะ ที่เธอถูกตัดสินว่ามีความผิดจริงนั้น เป็นเพราะคำให้การของสโนว์ค่ะ”

“....เอ๋?”

“สโนว์ให้การยืนยันค่ะว่า มีร่องรอยว่าเธอต่อสู้กับหัวหน้ากอง.... ว่าเธอต้องทำอะไรหัวหน้ากองแน่ๆ ท่านเค้าท์ฟิงเกอร์ฮู้ทก็เชื่อคำยืนยันของบุตรชาย แล้วก็เดือดดาลใหญ่.... บอกว่าเธอลืมบุญคุณของกองอัศวิน คิดแค้นที่หัวหน้ากองไม่ยอมสนใจตัวเอง”

ลาสโลกลั้นหายใจ ฟังคำพูดของพอลล่า

สโนว์.... ไม่จริง เขาไม่เชื่อว่าสโนว์จะให้การแบบนั้น....ไม่อยากจะเชื่อ

แล้วเคเนสก็เอ่ยขึ้นบ้าง

“อย่าลืมนะลาสโล ไม่ว่าสโนว์จะพูดอะไรก็ตาม แต่พวกเราจะไม่มีวันสับสนเด็ดขาด นายเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาคนสำคัญของหัวหน้ากอง นายไม่มีทางทำอะไรที่จะเป็นการทำร้ายหัวหน้ากองแน่”

และตอนนั้นเอง สมาชิกกองอัศวินก็ก้าวผ่านประตูที่เปิดกว้างอยู่เข้ามา ผู้ควบคุมการลงทัณฑ์นั่นเอง เคเนสกับพอลล่าถูกพาตัวออกไปจากห้องอย่างหยาบคาย ส่วนลาสโลก็ถูกยึดแขนทั้งสองข้างไว้

“ต้มพวกเราซะเปื่อยเลยนะ”

สมาชิกกองอัศวินคนหนึ่งสบถอย่างเจ็บใจ

“ชั้นเคยเชื่อว่าแกได้รับความไว้วางใจจากหัวหน้ากอง เป็นอัศวินที่ยอดเยี่ยมคนหนึ่งแท้ๆ หรือว่าที่หัวหน้ากองได้รับบาดเจ็บตอนที่รบกับเจ้าโจรสลัดบรันด์นั่น ก็เป็นส่วนหนึ่งในแผนของแกด้วยหา?”

ลาสโลไม่ได้เอ่ยตอบ เหล่าสมาชิกกองอัศวินต่างก็พูดเสียดสีลาสโลที่นิ่งงันไม่กล่าวอะไรอย่างจงเกลียดจงชัง

แล้วลาสโลก็ถูกคุมตัวไปยังท่าเรือ และให้ขึ้นนั่งในเรือลำน้อย


4-2

เรือสำหรับโทษเนรเทศถูกพ่วงเข้ากับเรือด่วนขนาดเล็ก และถูกลากมุ่งออกสู่ท้องทะเลทิศตะวันออก

เมื่อมาถึงจุดที่มองไม่เห็นผืนแผ่นดินแม้แต่น้อย เชือกซึ่งพ่วงเรือเข้าด้วยกันจึงถูกตัดทิ้ง ระหว่างนั้นคาตาริน่าก็ก้มลงมองลาสโลด้วยสายตาเย็นชาแล้วเอ่ยขึ้น

“ถ้าโชคดี คงจะมีเรือผ่านมาช่วยรับเธอขึ้นไปล่ะมั้ง ไม่อย่างนั้นแล้ว จะยังไงเธอก็ไม่ทางที่จะมีชีวิตรอดต่อไปได้หรอก”

“....”

“แต่ถึงจะรอดชีวิตไปได้ ก็อย่าได้กลับมาเหยียบแผ่นดินราสริลอีกเป็นอันขาดล่ะ ลาสโล หัวหน้ากองน่ะเชื่อมันในตัวเธอจากใจจริง ท่านคิดจะให้เธอเป็นผู้สืบทอดของท่านแท้ๆ แต่เธอกลับ....”

คงจะคิดว่าถึงพูดไปก็ไร้ความหมายหรืออย่างไร คาตาริน่าหันหน้าไปด้านหลัง และออกคำสั่งให้ออกเรือ เรือด่วนจึงออกตัวมุ่งหน้ากลับสู่ราสริลโดยทิ้งเรือเนรเทศไว้ที่นั่น

ลาสโลซึ่งถูกทิ้งไว้บนเรือลำน้อย หันมองไปรอบด้าน แล้วจึงถอนหายใจ

จะมองอย่างไรก็มีเพียงผืนทะเล

อย่างที่คาตาริน่ากล่าว ถ้าไม่มีเรือสินค้าหรือเรืออะไรก็ตามผ่านมาล่ะก็ เขาคงไม่มีทางมีชีวิตรอดไปได้

แล้วจู่ๆ เขาก็นึกขึ้นมา

จะว่าไปแล้ว เมื่อ 15 ปีก่อน ตัวเขาก็คงจะอยู่ในสภาพเดียวกันนี้สินะ.... เมื่อครั้งที่ยังเป็นทารก ช่วยตัวเองไม่ได้ยิ่งกว่าตอนนี้หลายเท่า นอนอยู่บนเศษซากของเรืออับปาง ล่องลอยอยู่ในท้องทะลท่ามกลางสติที่พร่ามัว เพียงตัวคนเดียว

ผ่านไป 15 ปี จึงได้กลับคืนสู่สถานที่เดิมนี้.... อย่างงั้นหรือ พอนึกได้เช่นนั้น รอยยิ้มเศร้าๆ ก็ปรากฏบนใบหน้าของเขา เวลา 15 ปีที่ผ่านไปในราสริล ดูราวกับเป็นความฝันอันลือนราง

ความทุกข์ทรมานจากงานหนัก เช่นงานซักล้างในฤดูหนาวที่หนาวเหน็บ หรือการขนส่งของหนักๆ ก็มี ต้องลิ้มรสความเหงาเมื่อได้เห็นพวกเด็กๆ ในวัยเดียวกันออดอ้อนบิดามารดาก็เคย ทว่า เพื่อนๆ ก็คอยช่วยค้ำจุนเขาเรื่อยมา

มันเป็นคืนวันที่มีความสุข

ทันใดนั้น ลาสโลก็สะดุ้งกับเสียงบางอย่างที่ดังขึ้นด้านหลังและหันกลับไปมอง เสียงดังแกรกกรากยังคงดังต่อเนื่อง แล้วเสียงโวยวายตกใจของเด็กผู้หญิงจึงดังขึ้น

“นี่ อย่านะ! จับตรงไหนของนายน่ะ!”

“ยะ อย่างเธอน่ะนะ! ใครมันจะจับกันฟะ!”

“อ๋า เสียมารยาทที่สุด! เอามือออกไปซะทีสิ!”

“ก็จะให้ทำไงเล่า มันแคบนี่เฟ้ย!”

ลาสโลเบิกตากว้างจ้องมองไปยังที่มาของเสียงนั้น มันดังมาจากเงาของหีบไม้ซึ่งใส่พวกเสบียงเอาไว้ และที่ค่อยๆ กลิ้งตัวออกมาก็คือเจ้าของเสียงทั้งสอง.... จูเอลและทัล

“อูย.... ปวดขาไปหมด คับแคบชะมัดเลย”

ทัลบ่นในขณะที่นวดขาของตนไปด้วย แล้วจึงแหงนหน้ามองลาสโล ใบหน้าใสซื่อนั้น มีรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ปรากฏขึ้น

ฝ่ายจูเอลก็ดีดตัวขึ้นอย่างร่าเริงราวกับตุ๊กตาติดสปริงพลางตะโกนไปด้วย

“อ้า สบายตัวจังเลย! ในที่สุดก็ขยับแข้งขยับขาได้ซักที! แคบชะมัด!”

“ทัล.... จูเอล....? ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่....?”

ลาสโลได้แต่ตกตะลึง เขาไม่เข้าใจ ทำไมทั้งสองถึงได้มาอยู่ที่นี่ได้..... หรือว่าทั้งสองคนจะเป็นโรคเดินละเมอ แล้วเผลอหลงขึ้นมานอนหลับในเรือเล็กที่ถูกผูกไว้ที่ท่าเรือ.... จินตนาการเหนือความเป็นจริงเช่นนั้นเริ่มผุดขึ้นในสมอง

“ไม่ทำไมยังไงหรอกน่า เราเห็นว่าถ้าลาสโลมาคนเดียวคงจะเซ็งแย่ ก็เลยตามมาด้วยน่ะ!”

จูเอลยืดอกตอบ ฝ่ายทัลก็เอ่ยว่า “ก็อย่างนั้นแหละ” แล้วก็ยืนยืดอกเช่นเดียวกับจูเอล

“ฮะฮะ” เมื่อเห็นลาสโลที่ยังคงตกตะลึง จูเอลก็หัวเราะขึ้น

“ตกใจใช่ม้า เราปรึกษาแล้วก็ตัดสินใจกันสี่คนน่ะ”

“สี่คน....?”

“แน่นอน เคเนสกับพอลล่าก็รวมหัวด้วยนะ”

“จริงๆ สองคนนั้นก็อยากมาด้วยแหละ มีคุยกันเหมือนกันล่ะว่าแอบขึ้นเรือมากันทั้งสี่คนเลยดีกว่า”

“แต่ถ้าทำงั้นก็มีหวังโดนตีเป็นคนร้ายกันหมดรวบยอดเลยใช่ม้า? แบบนั้นมันน่าเจ็บใจ เพราะงั้นก็เลยตกลงกันว่าแบ่งหน้าที่ ให้เคเนสกับพอลล่าอยู่โยง จะได้ค้นหาความจริงเกี่ยวกับการตายของหัวหน้ากองไง”

ลาสโลนึกถึงคำพูดของพอลล่าขึ้นมา

(ทัลกับจูเอล.... กำลังยุ่งค่ะ เพราะฉะนั้นก็เลยมาที่นี่ไม่ได้)

เพราะคนเอาจริงเอาจังอย่างพอลล่าพูดด้วยน้ำเสียงอึดอัดพิกล จึงทำให้จับความหมายที่แท้จริงไม่ได้ ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพอลล่าจะมีความสามารถในการแสดงถึงขนาดนั้น

“ทัล.... จูเอล.... ทั้งที่ได้เป็นอัศวินเต็มตัวแล้วแท้ๆ....”

พอลาสโลพึมพำขึ้นเช่นนั้น ทัลก็หัวเราะออกมา

“คือว่านะ ชั้นปิดทุกคนมาตลอด แต่คืออันที่จริงฉันเองก็ไม่ได้อยากจะเป็นอัศวินหรอก จริงๆ แล้วฉันอยากเป็นชาวประมงต่างหากล่ะ”

“ชาวประมง?”

“อื้อ เพราะชั้นชอบตกปลาน่ะนะ แต่พ่อแม่ชั้นน่ะกรอกหูอยู่ทุกวันๆ ว่ากองอัศวินๆ ทำไปทำมาชั้นก็เลยเข้ากองอัศวินมานี่แหละ แต่จริงๆ แล้วชั้นอยากเป็นชาวประมงน่ะ เพราะงั้นไม่ต้องใส่ใจหรอกน่า ชั้นจะตกปลาให้เพียบเลย แค่พวกนายสองคน ชั้นเลี้ยงไหวอยู่แล้ว”

“ส่วนฉันน่ะ แน่นอนว่าหวังไว้ว่าอยากจะเป็นอัศวินชั้นยอด!”

จูเอลยันทัลออกไปแล้วตะโกนขึ้น

“อัศวินย่อมไม่ทอดทิ้งสหายที่กำลังตกที่นั่งลำบาก! ถ้าเป็นหัวหน้ากองล่ะก็ จะต้องพูดอย่างนี้แน่ๆ เลย เพราะงั้นการที่ได้มากับลาสโลแบบนี้น่ะ ถือว่าเป็นความปรารถนาที่แท้จริงในฐานะอัศวินซะด้วยซ้ำไป”

ลาสโลมองใบหน้าของทั้งสองคน

คำพูดของทัลที่ว่าอยากจะเป็นชาวประมงนั้นไม่ใช่คำปด ทว่าก็เป็นความจริงเช่นกันว่าเขาเองก็เคยมีความหวังอันในพองโตสำหรับอนาคตในฐานะสมาชิกของกองอัศวิน ดวงตาซึ่งเอ่อท้นด้วยน้ำตาของเขา ยามที่มองดูดอกไม้ไฟในคืนพิธีจุดดวงประทีปอย่างหลงใหล ลาสโลยังคงจดจำได้เป็นอย่างดี มันเป็นน้ำใจของทัล ที่ยอมปิดตายความฝันนั้น แล้วเล่าให้เพื่อนๆ ฟังถึงแค่ความหลงใหลในอาชีพชาวประมง

จูเอลเองก็เช่นกัน เธอเกลียดการพ่ายแพ้มากกว่าคนอื่นเป็นเท่าตัว และพยายามอย่างมากเพื่อที่จะได้เป็นหนึ่งในสมาชิกกองอัศวิน ซึ่งไม่เพียงแต่ต้องยอมล้มเลิกในเส้นทางนั้น แต่ยังจะต้องมาอยู่ในจุดยืนของ “คนทรยศ” ที่จะต้องถูกกองอัศวินอาฆาตมาดร้ายอีกด้วย มันทรมานถึงเพียงไหนกันนะ ถึงแม้ว่าน้ำเสียงของเธอจะฟังดูสบายๆ แต่การตัดสินใจของเธอนั้นจริงจังอย่างที่สุด

ลาสโลกัดริมฝีปากอย่างร้อนรน เมื่อนึกถึงความรู้สึกของทั้งสองแล้ว หัวใจก็รู้สึกรุ่มร้อนขึ้น

ใบหน้าของเขาอาจจะดูตลกกระมัง จูเอลจึงได้ส่งเสียงหัวเราะขึ้น

“เอ้า เราไม่ว่างพอจะมานั่งเหม่อกันนะ มาพายเข้าหาฝั่งกันดีกว่า”

“ฝั่งมันไปทางไหน เธอรู้เรอะ?”

“ไม่รู้หรอก ไงๆ ก็ไปทิศที่ไม่ใช่ราสริลก็แล้วกัน เอาทิศที่มันเหมาะๆ!”

จูเอลชูกำปั้นขึ้นอย่างร่าเริง ถึงจะพูดฟังมั่วซั่ว แต่เสียงของเธอก็มีพลังที่ทำให้ร่าเริงขึ้นได้ ลาสโลรู้สึกว่าความสับสนในใจเขานั้นมลายหายไปจนสิ้น และเริ่มมองเห็นความหวังในอนาคตขึ้น

“เราเตรียมไม้พายมาด้วยน่ะ นี่ไง อยู่ตรง....”

ทัลก้าวไปหาสัมภาระที่ถูกกองไว้บริเวณท้ายเรือ แล้วเริ่มคุ้ยหาของบางอย่างเสียงดัง ทว่า จู่ๆ เขาก็ส่งเสียงร้อง “หวา” ขึ้น

“เป็นอะไรไปทัล? มีแมลงอยู่รึไง?”

“ไม่ใช่แมลงนะ.... อะไรไม่รู้..... นุ่มๆ”

“นุ่ม? อะไรล่ะหา?”

จูเอลเอียงคอแล้วเดินเข้าไปหาทัล

และทันใดนั้น ก็มีบางอย่างกลิ้งออกมาจากเงากล่อง จูเอลกับทัลส่งเสียงร้อง “หยา” ขึ้นและกระโดดถอยไปด้านหลังโดยพร้อมเพรียง ลาสโลเองก็วิ่งเข้าไปใกล้บ้าง และที่นอนแผ่หงายแน่นิ่งอยู่กับพื้นเรือนั้นก็คือ....

“หมอนี่มันชิปปุไม่ใช่เหรอ เนโกะโบลท์ที่ทำงานอยู่ที่ร้านขายอุปกรณ์น่ะ”

อย่างที่ทัลกระซิบ ที่กำลังทำหน้าง่วงและละเมออะไรบางอย่างออกมาอยู่ก็คือเนโกะโบลท์ ชิปปุนั่นเอง

“นี่.... นี่ เกิดอะไรขึ้น ทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่ได้หา?”

ทัลสะกิดชิปปุเบาๆ แบบกล้าๆ กลัวๆ แล้วชิปปุจึงส่งเสียงอย่างงัวเงียๆ แล้วก็ลืมตาขึ้น

“เมี้ยว....? เอ๋.....?”

ชิปปุขยี้ตาพร้อมกับลุกขึ้นนั่ง และเมื่อมองหน้าของทั้ง 3 แล้ว เขาก็เอ่ยถามอย่างร่าเริงด้วยท่าทีที่ไม่สะทกสะท้านอะไรเลย

“อ๊ะ หวัดดี ฉันชื่อชิปปุ ที่นี่ที่ไหนเหรอ?”


ถ้าจะสรุปเรื่องราวที่ยาวเหยียดของชิปปุไว้ในประโยคเดียว ก็คงบอกได้ว่า เขาอยากจะเพิ่มพูนประสบการณ์ของตัวเองกระมัง

“สรุปก็คือ นายออกจากเกาะเนย์ที่เป็นบ้านเกิดเพราะอยากจะหาประสบการณ์ แล้วพอทำงานอยู่ที่ราสริล ก็เกิดอยากจะหาประสบการณ์อื่นเพิ่มอีก ก็เลยลองแอบขึ้นเรือมางั้นสินะ”

ชิปปุพยักหน้าอย่างแข็งขันกับการ “สรุป” ของจูเอล

“ย่อมากไปนิดนึงนะ แต่ถ้าจะพูดง่ายๆ ก็ประมาณนั้นแหละ ฉันเรียนรู้เรื่องหลายๆ อย่างเอาไว้ เพื่อที่จะเป็นพ่อค้าที่ยิ่งใหญ่ในอนาคต ฉันจึงอยากเจอผู้คนทุกประเภท ดูสินค้าทุกชนิด ขึ้นเรือทุกแบบ กินอาหารทุกอย่างในโลก....”

“ไม่ค่อยจะเข้าใจแฮะ จะเป็นพ่อค้าที่ยิ่งใหญ่ แล้วทำไมถึงจะต้องแอบขึ้นเรือด้วยล่ะ?”

“อ๋า จริงๆ เลย อุตส่าห์อธิบายละเอียดถึงขนาดนั้นแล้ว นี่ไม่ได้ฟังเลยรึไงหา! ฟังดีๆ นะ ฉันจะเล่าใหม่ตั้งแต่ต้นอีกรอบ....”

“....พอเหอะ ไม่ต้องเล่าก็ได้”

ลาสโลโล่งอก ที่จูเอลช่วยตัดบทให้ ถ้าต้องฟังชิปปุเล่าเรื่องยาวเหยียดนั่นอีกรอบล่ะก็ มันทารุณเกินไปจริงๆ ถึงชิปปุจะบอกว่าที่แอบขึ้นเรือก็เพราะว่า “อยากจะหาประสบการณ์” แต่ลาสโลว่าเรื่อง “เจ้าของร้านอุปกรณ์ชอบใช้งานโหดเกินเหตุ” ก็น่าจะแอบมีส่วนอยู่นิดๆ เหมือนกันนั่นล่ะ

“แต่ ฉันอยากจะบอกไว้ก่อนอย่างนึงนะ นายแอบขึ้นมาโดยที่ไม่รู้ว่าเรือลำนี้เป็นเรืออะไรใช่มั้ย?”

“เอ๋? แน่อยู่แล้ว ไม่รู้หรอก ฉันก็แค่แอบมุดขึ้นเรือลำที่ดูแล้วเหมาะที่สุดในบรรดาเรือที่ผูกอยู่ที่ท่า ก็เท่านั้นเอง แล้วเรือลำนี้กำลังจะไปที่ไหนล่ะ? โอเบล? อิลูยะ? หรือจะเป็นคูลูค ประเทศใหญ่ทางเหนือ? หรือจักรวรรดิจันทราแดงที่อยู่เหนือขึ้นไปอีกล่ะ!”

“จะเป็นงั้นไปได้ไงเล่า เรือลำนี้น่ะ เป็นเรือเนรเทศนะ”

“....เอ๋?”

“เ – น – ร – เ – ท – ศ ย่ะ ไม่ได้มีจุดหมายอยู่ที่ไหนทั้งนั้นแหละ แค่ลอยไปเรื่อยๆ เท่านั้นเอง”

“..........”

ชิปปุเอียงใบหน้าที่น่ารักลงเล็กน้อย ก่อนจะทาบมือทั้งสองลงกับพื้นเรือ แล้วโค้มศีรษะลง

“ขอโทษที่มารบกวนครับ ลาล่ะนะครับ”

“จะลาไปไหนของนาย รอบๆ นี่มีแต่ทะเลนะ”

ชิปปุมองไปรอบด้านอย่างหวั่นๆ พวกเขาไม่รู้หรอกว่าความสามารถในการมองเห็นของเนโกะโบลท์นั้นเป็นอย่างไร แต่อย่างน้อยที่สุด เท่าที่สายตาของมนุษย์สามารถมองเห็นได้ ขณะนี้รอบด้าน 360 องศานั้น ไม่มีอะไรอย่างอื่นเลยนอกจากน้ำ

“เฮ่อ..... เรานี่มัน....”

แล้วจูเอลก็ยัดเยียดไม้พายให้เนโกะโบลท์ที่กำลังปวดหัวกับตัวเอง

“ยังไงซะก็พายเข้าเถอะน่า เพราะถ้ายังไม่เจอแผ่นดินที่ไหน ก็ทำอะไรยังไงไม่ได้ทั้งนั้นแหละ เอ้า พยายามเข้า”


4-3

ทั้ง 4 พลัดเปลี่ยนกันจับไม้พาย ช่วยกันพายไปเรื่อยๆ จนกระทั่งผ่านไป 1 วัน 1 คืน กับอีกครึ่งวัน

ขณะที่เข้าสู่ค่ำคืนของวันต่อมา จูเอลก็มองเห็นเรือ

“มีแสงสว่างอยู่ทางนั้นแน่ะ นั่นไง....”

พวกลาสโลลุกขึ้นยืน แล้วเพ่งสายตามอง แล้วก็จริงๆ พวกเขามองเห็นแสงสว่างจากเรือ ลอยพลิ้วไหวอยู่เหนือผืนน้ำ จูเอลส่งเสียงขึ้นเหมือนกำลังเล่นสนุก

“พบเงาเรือค่ะ! กัปตันคะ โปรดสั่งการด้วย!”

“ลองเข้าไปใกล้ๆ กันเถอะ จุดคบเพลิงทำเรือเราให้สว่างด้วยดีกว่า”

“จะปลอดภัยเหรอ? ถ้าเป็นเรือโจรสลัดขึ้นมา จะแย่เอานา”

การที่ทัลรู้สึกวิตกนั้นก็สมเหตุสมผลอยู่แล้ว ทว่าพวกเขาไม่อยากจะปล่อยเรือที่อุตส่าห์ได้พบให้ผ่านไปเฉยๆ จะลอยละล่องในทะเลแบบนี้ไปเรื่อยๆ ย่อมไม่ได้ พวกลาสโลจึงจุดไฟขึ้นที่คบเพลิงอันแสนล้ำค่า

เรือลำนั้นค่อยๆ ใกล้เข้ามา ดูเหมือนว่าจะเป็นเรือสินค้าทว่าไม่ปรากฏสัญชาติ และพวกลาสโลก็ไต่บันไดเชือกที่ถูกปล่อยลงมา ขึ้นไปบนเรือสินค้านั้น

เป็นเรือที่สร้างขึ้นอย่างดีทีเดียว

ผู้ที่มาปรากฏตัวต่อหน้าทั้ง 4 เป็นชายไว้หนวดขาว ท่าทางแข็งแรง มองแล้วมีบรรยากาศดูเหมือนกับพ่อค้าที่ร่ำรวย

ชายคนนั้นส่งเสียงกระแอม แล้วจึงเริ่มเอ่ยถามทั้ง 4 คน

“มีเรื่องอะไรกันรึพวกท่าน ถึงได้มาล่องเรือเล็กกันกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ ช่วยเล่า....”

“นี่ เรือลำนี้กำลังจะไปที่ไหนเหรอ?”

ชิปปุเอ่ยถามขึ้นกลางคัน ชายคนนั้นเลิกคิ้วขึ้นแว่บหนึ่งกับการเสียมารยาทของชิปปุ ทัลกับจูเอลเองก็ป้อนคำถามไม่หยุดปาก

“นี่เป็นเรือของที่ไหนเนี่ย? เป็นเรือสินค้าเหรอ? ขนอะไรมาน่ะ?”

“มีของกินรึเปล่า? ฉันหิวไส้แทบขาดแล้วล่ะ อ๊ะ แล้วก็ขอดูแผนที่เดินเรือหน่อยได้มั้ย?”

“ถ้าของกินล่ะก็ ฉันขอชีสนะ! อยากกินชีสจังเลย!”

“กินชีส มันก็ไม่อยู่ท้องน่ะสิ ชั้นอยากกินเนื้อ ถ้าไม่ไหวล่ะก็อย่างน้อยก็อยากกินขนมปังน้า”

ดูเหมือนชายคนนั้นเองก็กำลังฟังอยู่ด้วยท่าทางหงุดหงิด แต่เพราะเสียงของทั้งสามเริ่มหนวกหูจนแทบจับใจความไม่ได้ ในที่สุดชายคนนั้นก็หมดความอดทน

“หนวกหูโว้ยยยย! อยากจะพูดอะไรก็พูดทีล่ะคนสิ ไอ้เด็กเวรพวกนี้.....!”

เสียงนั้นดังแสบหู ผิดกับภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูสูงศักดิ์ เมื่อสังเกตเห็นพวกลาสโลที่กำลังตกตะลึง ชายคนนั้นก็กระแอมอีกครั้ง แล้วเอ่ยกลบเกลื่อน

“อ้า...... ช่วยพูดทีละคนได้มั้ยครับ คุณหนูทั้งหลาย?”

เสียงกลั้นหัวเราะดังขึ้น ลาสโลจึงหันไปยังที่มาของเสียงนั้น ชายหนุ่มผมดำร่างสูงโปร่งยืนอยู่ที่นั่น เขารู้สึกถึงสายตาของลาสโล จึงโค้มศีรษะลงเล็กน้อย

“ขอโทษด้วยนะครับ แต่ท่าทางพวกท่านสนุกสนานกันเหลือเกิน เรื่องที่พวกท่านมาลอยเรืออยู่ที่นี่ พรุ่งนี้ค่อยเล่าก็แล้วกัน วันนี้ดึกมากแล้ว เดี๋ยวเราจะจัดอาหารกับที่นอนให้ ไปพักผ่อนให้สบายเถอะครับ”

ชายหนุ่มหันหลังเดินหายลับไป แล้วพวกลาสโลก็เข้าไปในเคบินเรือในสภาพที่เหมือนถูกชายหนวดขาวไล่ต้อนอยู่กลายๆ

ห้องที่ได้รับนั้นมีเตียงสองชั้นสองเตียงตั้งอยู่ เป็นห้องที่ให้ความรู้สึกสบาย แล้วจากนั้นก็มีลูกเรือ นำอาหารเช่นชีส ขนมปังและแฮมมาจัดวางให้บนโต๊ะ พวกลาสโลต่างก็ร้องอย่างยินดี แล้วเข้าประจำที่ที่โต๊ะ พวกเขาพยายามไม่แตะต้องเสบียงที่มีอยู่ในเรือเนรเทศเพราะไม่รู้ว่าจะต้องลอยอยู่กลางทะเลติดต่อกันนานแค่ไหน ดังนั้นจึงท้องกิ่วกันทั้ง 4 คน

“อร่อย! ยอดที่สุดเลย!”

ทัลกัดกินขนมปังอย่างดุเดือด ฝ่ายชิปปุก็แทะก้อนชีสด้วยท่าทางที่เหมือนจะบอกว่าไม่ยอมแพ้หรอก

จูเอลผ่าครึ่งผลไม้ แล้วเอ่ยด้วยเสียงเคลิ้มๆ

“ นี่.... คนเมื่อกี้นี้น่ะ.... เขาเท่จังเลยเนอะ”

“หา? นี่เธอชอบคุณลุงหนวดขาวเจ้าเนื้องั้นเรอะ? รสนิยมแปลกๆ นะเธอ”

“ไม่ใช่ย่ะ! ที่ฉันพูดน่ะ หมายถึงคนหนุ่มๆ ที่ยืนอยู่ข้างหลังลุงคนนั้นต่างหาก”

“อ๋อ หมอนั่นน่ะเหรอ อื้อ ก็นะ ท่าทางดูไม่เลวนี่นา”

ทว่าดูเหมือนทัลจะประทับใจกับอาหารตรงหน้ามากกว่าชายหนุ่มคนที่ว่า จึงไม่ยอมร่วมบทสนทนาเท่าไร ลาสโลจึงเอ่ยขึ้นบ้าง

“ดูเป็นคนสูงศักดิ์นะ”

“ใช่เลยๆ! มีเสน่ห์สุดยอดไปหมดทั้งหน้าตาทั้งท่าทางเนอะ ได้พบหนุ่มรูปงามแบบนั้นขณะลอยคว้างกลางทะเล โชคชะตาเนี่ย น่ามหัศจรรย์จริงๆ เลย....”

ลืมไปสนิทเลย จูเอลมีนิสัยชอบตามกระแสนิยมและคลั่งไคล้ผู้ชายหน้าตาดี ถ้าได้เจอหนุ่มรูปงาม ก็มักจะเหม่อเดินตามเขาซะอย่างนั้น จนพอลล่าหน่ายใจ

“คนคนนั้นก็เป็นพ่อค้าด้วยรึเปล่านะ เป็นลูกน้องของลุงคนนั้น หรืออาจจะเป็นคุณหนูตระกูลขุนนางแอบปลอมตัวมาก็ได้นะ เขามีบรรยากาศสูงศักดิ์อย่างนั้นลอยออกมานี่นา....”

ทั้งที่โวยวายบ่นเรื่องท้องหิวถึงขนาดนั้น แต่จูเอลกลับลุกขึ้นยืนด้วยท่าทีที่ไม่คิดจะเตะต้องอาหารเลย

“ฉันไปเดินเล่นที่ดาดฟ้าเรือหน่อยนะ”

“เดินเล่นเนี่ยนะ? นี่มันเลยครึ่งคืนแล้วนา”

“ก็คนคนนั้นอาจจะยังอยู่บนดาดฟ้าเรือก็ได้นี่นา ถ้าเข้าไปทักประมาณว่าดาวสวยนะคะอะไรเทือกนั้น อาจจะสร้างบรรยากาศดีๆ กับเขาได้ก็ได้นะ”

“ถ้างั้นฉันไปด้วยสิ! ฉันอยากดูดาวสวยๆ!”

ชิปปุซึ่งกินชิสจนอิ่มท้องแล้ว ลุกขึ้นยืนบ้าง ลาสโลจึงขอตามไปด้วย เพราะเป็นห่วงว่า ถ้าปล่อยจูเอลกับชิปปุไปกันแค่สองคนล่ะก็ น่ากลัวว่าจะได้ไปก่อเรื่องอะไรกันขึ้นแน่ๆ

ทัลเองก็ลุกขึ้นยืนบ้าง เพราะคงจะน่าเบื่อถ้าถูกทิ้งไว้เพียงคนเดียว จูเอลจึงเริ่มทำหน้าไม่พอใจ

“อะไรเนี่ย ยกขบวนไปกันแบบนี้ก็เสียบรรยากาศหมดน่ะสิ”

“ไม่เห็นเป็นไรนี่นา ไปกันเหอะน่า”

แล้วทั้งสี่จึงก้าวออกจากเคบินไปด้วยกัน


“อยู่ที่ไหนกันน้า! หนุ่มแสนวิเศษคนนั้น”

ลาสโลยกมือขึ้นตัดบทจูเอลซึ่งกำลังพูดคนเดียวอย่างอารมณ์ดี

มีเสียงคนพูดคุยกันลอยมา และบรรยากาศก็ตึงเครียดอย่างไรพิกล ลาสโลจึงส่งสัญญาณให้พวกจูเอลอย่างรวดเร็ว ทั้งสี่เงียบเสียงและเงี่ยหู ตั้งใจฟัง เจ้าของเสียงนั้น คือชายหนุ่มรูปงามที่จูเอลหลงใหลนั่นเอง ลาสโลซ่อนตัวในเงามืด และลอบสังเกตการณ์อย่างเงียบเชียบ ชายหนวดขาวก็ยืนอยู่ข้างๆ ชายหนุ่ม ทั้งสองกำลังพูดคุยกับชายท่าทางคล้ายพ่อค้าด้วยเสียงเบาๆ

“นี่เร็วกว่ากำหนดการมากเลยไม่ใช่รึ”

เสียงของชายหนุ่ม ต่างกับที่พูดคุยกับลาสโลด้วยท่าทางอ่อนโยนเมื่อครู่นี้ราวกับเป็นคนละคน ทั้งเยือกเย็นและดุดัน

“ครับ เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นที่เกาะใกล้ๆ นี้ ข้าจึงมารายงานครับ”

ชายที่ท่าทางเหมือนกับพ่อค้าเอ่ยตอบ ดูทีท่าแล้ว เห็นได้ชัดว่าเขากำลังหวั่นเกรงชายหนุ่มผู้นั้นอยู่

“ที่ไหน? เขตศัตรูรึ?”

ชายหนวดขาวถามขึ้นบ้าง เสียงของเขาฟังดูเข้มงวดมากกว่าเมื่อครู่นี้เช่นกัน

คนพวกนี้ไม่ใช่พ่อค้า ลาสโลรู้สึกทันที ท่าทางและน้ำเสียงของชายหนุ่มและชายหนวดขาวนั้น แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพวกเขาเป็นทหารที่มากด้วยประสบการณ์ และเมื่อดูจากทีท่าของทั้งสองแล้ว ก็ดูเหมือนว่าฝ่ายชายหนุ่มนั้นจะมีตำแหน่งสูงกว่า

“ครับ มีโจรสลัดบุกโจมตีเมืองราสริลของไกเอ็น และก็เกิดการต่อสู้อย่างรุนแรงกับกองอัศวิน....”

พวกลาสโลสะดุ้งเฮือก แล้วใครบางคนก็ก่อให้เกิดเสียงขึ้นเนื่องด้วยอารามตกใจ

“--------ใครน่ะ”

ชายหนุ่มหันมาทางพวกเขา

ไม่มีทางหนีไปไหนทั้งสิ้น และแล้วทั้งสี่ก็ถูกลากตัวมายืนตรงหน้าชายหนุ่มในชั่วพริบตา

เมื่อถูกซักอย่างเฉียบขาด ลาสโลก็ทำใจ ถึงดึงดันพยายามปิดบังมั่วๆ ซั่วๆ ไป ก็รังแต่จะยิ่งทำให้ถูกเข้าใจผิดเกี่ยวกับเหตุผลที่มาแอบยืนฟังเสียเปล่าๆ กระมัง

“เฮอะ”

พอเล่าว่านอกจากชิปปุ พวกเขาสามคนถูกขับออกจากกองอัศวินไกเอ็นมา ชายหนวดขาวก็ส่งเสียงขึ้นจมูก

“ถูกเนรเทศมางั้นเรอะ? ข้ามองออกหรอกน่า พวกแกเป็นสายลับของกองอัศวินไกเอ็นนี่เอง”

“ไม่ใช่สายลับซักหน่อย พวกฉันเป็นผู้ถูกเนรเทศเต็มตัว แล้วก็กำลังลอยแพอยู่นี่ไงยะ!”

“ใช่ใช่ ดูสภาพพวกเราซะก่อนสิ โทรมออกขนาดนี้ดูยังไงก็เป็นพวกถูกปล่อยเกาะไม่ใช่เรอะ”

“ฉันไม่ใช่นะ! ฉันเป็นแค่พนักงานร้านอุปกรณ์! ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับกองอัศวินเลย!”

“โอ๊ย หนวกหูโว้ยยยยยย ไอ้พวกเด็กเวรนี่!”

ดูเหมือนว่าชายหนวดขาวจะประสาทเสียกับเสียงโหวกเหวกของพวกทัลอยู่เอาเรื่องทีเดียว เขาตะโกนแล้วหันไปทางชายหนุ่ม

“จัดการซะเลยดีกว่า คงไม่มีอะไรขัดข้องนะครับ กัปตัน”

“ช่วยไม่ได้นะ”

ชายหนุ่มเอ่ยตอบด้วยท่าทางเบื่อๆ แล้วชักดาบออกมา พวกลาสโลทั้งสี่คนกระโดดถอยไปด้านหลังอย่างตกใจ จูเอลประท้วงอย่างหัวเสีย

“พวกรามาตัวเปล่านะ! คิดจะฟันคนที่ไม่มีอาวุธในมือรึไงยะ!?”

“นั่นสินะ จะว่าไปก็ใช่ เอาอาวุธให้พวกเขาซะ”

ชายหนุ่มออกคำสั่งกับผู้ใต้บังคับชาด้วยน้ำเสียงที่ฟังแล้วเหมือนกำลังอารมณ์ดี ซึ่งทำให้ชายหนวดขาวโวยอย่างโมโห

“กัปตัน! เราไม่ได้กำลังเล่นนะครับ!”

“อา แน่นอนข้าไม่ได้กำลังเล่น ข้าไม่ออมมือให้หรอกนะ”

แล้วทั้งสี่ก็ได้รับอาวุธ โดยเลือกชิ้นที่ชอบได้ตามสบายจากอาวุธจำนวนมากที่มีอยู่บนเรือลำนี้ แม้จะสับสน แต่พวกลาสโลต่างก็เลือกดาบขึ้นมาถือ อดีตสมาชิกกองอัศวินอย่างทั้งสามคนนั้นยังพอว่า แต่ก็กลายเป็นว่าต้องให้ชิปปุร่วมการต่อสู้ด้วย โดยเขาจะไม่ใช้อาวุธใดๆ แต่จะใช้กงเล็บของเขาเองเข้าต่อสู้

เป็นการประชันหน้าที่เห็นผลแพ้ชนะแต่แรกอยู่แล้ว ชายหนุ่มที่ยืนถือดาบอย่างสงบนิ่งนั้น จากบรรยากาศก็รู้ว่าไม่ใช่คนธรรมดา ฝ่ายชายหนวดขาว ก็มีการเคลื่อนไหวที่ไม่ทำให้รู้สึกถึงอายุของเขาเลย

เพียงแต่ยืนประจันหน้า ก็เห็นได้จัดเจนแล้วว่า ไม่มีทางชนะได้เลย พวกลาสโลต่างก็ส่งสัญญาณให้กันด้วยสายตา


หนีกันเถอะ

มีเพียงทางนี้เท่านั้น ถึงจะกล้าบ้าบิ่นบุกเข้าไป ก็มีแต่จะถูกฟันเละเท่านั้นเอง

เมื่อตัดสินใจได้เช่นนั้น ทั้งสี่ก็ลงมือโดยพร้อมเพรียง พวกเขาหมุนตัวหันหลังให้ศัตรูพร้อมๆ กัน แล้ววิ่งอย่างไม่คิดชีวิต

“เฮ้ย!? เดี๋ยวก่อนสิ ได้พวกขี้ขลาด!”

ชายหนวดขาวโวยวาย ทว่าไม่มีเสียงฝีเท้าไล่ตามพวกเขามา ลาสโลวิ่งไปก็เหลือบมองด้านหลังไปด้วย จึงได้เห็นว่าชายหนุ่มคนนั้นกำลังห้ามชายหนวดขาวเอาไว้ ซึ่งชายหนวดขาวก็กระทืบเท้าอย่างหัวเสียและร้องตะโกน

“แต่ว่า ท่านทรอย! ถ้าปล่อยให้พวกนั้นหนีไปแบบหนีล่ะก็....!”


ทรอย?

ลาสโลตกใจจนเหมือนหัวใจจะหยุดเต้น ชื่อที่ปรากฏในคำชี้แนะของหัวหน้ากองเกล็น อัจฉริยะดั่งตำนาน ผู้ได้รับสมญานามว่าบุตรของเทพแห่งท้องทะเล

ทว่าตอนนี้ เขาไม่มีเวลาพอจะคิดอะไรมากมายนัก ที่ไม่ตามมาก็แปลว่าคิดจะปล่อยพวกเขาไปอย่างนั้นรึ เขาไม่รู้ว่าทรอยเจตนาอย่างไร แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาจะหยุดเท้าไม่ได้เด็ดขาด

พวกลาสโลวิ่งไปบนดาดฟ้า มุ่งไปยังท้ายเรือ ทัลชะโงกตัวออกไปนอกกราบเรือแล้วตะโกนขึ้น

“เรือของพวกเรายังอยู่นะ!”

เรือลำนี้ทอดสมอ และจอดพักอยู่ตรงจุดที่รับพวกลาสโลขึ้นมานั้นเอง คงเป็นเพราะได้รับการติดต่อจากชายที่ท่าทางเหมือนพ่อค้านั่น จึงได้หยุดอยู่ที่นี่เพื่อรอรับข่าว ซึ่งก็เป็นโชคดีของพวกลาสโล เรือเนรเทศที่พวกเขานั่งมา ก็ยังคงลอยอยู่ ณ ตำแหน่งเดิมนั่นเอง

ทั้งสี่รีบกระโดดลงไปในเรือเนรเทศ แล้วออกแรงพายอย่างสุดกำลัง ขณะที่พายไป เมื่อเงยหน้าขึ้น ลาสโลก็มองเห็นทรอยซึ่งยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือ กำลังมองมาที่เรือเนรเทศนี้อยู่

เมื่อสบตากัน ทรอยก็ขยับศีรษะพยักเพยิดเล็กน้อย ราวกับจะบอกว่า “ไปซะ”

สำหรับทรอยแล้ว พวกลาสโลในเวลานี้คงจะไม่ถือว่าเป็นศัตรูด้วยซ้ำไปกระมัง ผู้ถูกเนรเทศที่น่าสงสารและเล็กกระจ่อยร่อย อาจจะคิดว่าถึงหลับหูหลับตาฟันไป ก็รังแต่จะเป็นที่น่าอับอายในฐานะอัศวินก็ได้ แต่ลาสโลไม่รู้สึกเจ็บใจต่อความคิดนั้นแต่อย่างใด อาจจะน่าสมเพช ทว่าลาสโลเพียงแต่โล่งใจที่ทรอยยอมปล่อยพวกเขามา ถึงพวกลาสโลจะร่วมแรงกันทั้งสี่คน ก็ไม่มีรับมือทรอยได้ ทั้งฝีมือต่อสู้ ความรู้ และประสบการณ์ ระยะห่างนั้นกว้างเกินไป

เมื่อออกห่างจากเรือของทรอยได้พอสมควร ในที่สุดทั้งสี่จึงเริ่มหยุดพายเรือ จูเอลถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วจึงเอ่ยออกมา

“รอดไปที....”

“นั่นคือทรอย..... ทรอยแห่งคูลูค”

ทัลพึมพำ แล้วจึงทรุดตัวลงนั่งอย่างสิ้นแรง ทั้งสี่ต่างก็นิ่งเงียบพูดอะไรไม่ออกอยู่พักหนึ่ง ต่างคนต่างก็นึกถึงความงามอันเย็นชาของชายหนุ่มคนนั้น แล้วจมอยู่ในห้วงความคิด

และในที่สุด ผู้ที่เอ่ยปากขึ้น ก็คือทัล

“จูเอล เธอเคยพูดใช่มั้ย ว่าบุตรของเทพแห่งทะเลอะไรนั่นต้องหน้าตาประหลาดแบบนี้แน่ๆ น่ะ”

จูเอลเอ่ยตอบทัล ซึ่งเอาทั้งสองข้างทาบที่แก้มแล้วถลึงตาขึ้นอย่างหมดแรง

“คนละเรื่องกับที่เคยจินตนาการไว้เลย.... นึกว่าจะเป็นผู้ใหญ่ตัวใหญ่ กล้ามเป็นมัดหนวดเครารุงรังซะอีก กลับกลายเป้นคนแบบนั้นซะได้”

“หมอนั่นน่ะ เคยจมเรือของกองอัศวินไกเอ็นตั้ง 4 ลำเมื่อ 7 ปีก่อนนะ สมัยที่อายุยังพอๆ กับพวกเรา”

ที่ผ่านมา พวกเขาเคยคิดว่าเรื่องแบบนั้นจะเป็นไปได้งั้นรึ เคยคิดว่าหัวหน้ากองอาจจะพูดเกินจริงไปบ้างนิดหน่อยเพื่อกระตุ้นเหล่าสมาชิกกองอัศวินอย่างที่จูเอลเคยว่าก็เป็นได้ ทว่าในเวลานี้ เมื่อได้พบกับทรอยเข้าจริงๆ ความสงสัยเหล่านั้นก็มลายหายไปจนสิ้น ถ้าเป็นชายคนนั้นล่ะก็ คงจะทำได้แน่ๆ และอาจทำได้โดยสงบเงียบเย็น สีหน้าไม่เปลี่ยนด้วย

“ว่าแต่นะ ทำไมเรือของคูลูคถึงได้มาแล่นอยู่แถวนี้ได้ล่ะ?”

ทัลเอ่ยตอบคำถามของลาสโล

“จะว่าไปแล้ว เขาลือกันใช่มั้ยว่าพักหลังนี่พวกนั้นมีการเคลื่อนไหวแปลกๆ น่ะ”

งั้นคูลูคก็เริ่มเคลื่อนไหวแล้วเหรอ

จูเอลพึมพำอย่างกังวล

“มีทางแจ้งเรื่องนี้ไปที่ราสริลบ้างไหมนะ....”

ลาสโลเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน ทว่าพวกเขาที่อยู่บนเรือเนรเทศเช่นนี้นั่นไม่มีทางทำอะไรได้ และความเงียบที่น่าอึดอัดใจจึงเข้าครอบคลุมพวกเขา และแล้วฝนก็ตกลงมา พวกลาสโลเตรียมถังน้ำ เพื่อรองน้ำฝนไว้สำหรับดื่ม

สำหรับผู้ที่ลอยคออยู่กลางทะเลเช่นนี้แล้ว ถือเป็นฝนแห่งความปราณีทีเดียว ทว่าทะเลก็เริ่มบ้าคลั่งขึ้นเรื่อยๆ คลื่นก่อตัวสูง เรือเนรเทศลำน้อยก็ถูกซัดพัดพาไปเรื่อยๆ อย่างไร้ทางต้าน

“ถ้าเริ่มเห็นฝั่งมั่งแล้วก็ดีสิ....”

ขณะที่จูเอลเอ่ยขึ้นด้วยท่าทางเสียงที่เหมือนจะร้องไห้ ทันใดนั้นเรือก็เกิดสั่นสะเทือนอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ทั้งสี่เสียการทรงตัวและล้มลงกับพื้นเรือ และที่ปรากฏแก่สายตาของลาสโลที่เงยหน้าขึ้นมา ก็คือสัตว์ประหลาดขนาดยักษ์ที่แหวกผ่านผิวน้ำลอยตัวขึ้นสูง

ร่างสีออกโทนฟ้านั้น มีปีกขนาดใหญ่กางสยาย ลำตัวท่อนล่างมีครีบเหมือนกับปลา เป็นมอนสเตอร์รูปร่างอัปลักษณ์ที่จะว่าเหมือนนกก็ไม่ใช่ ปลาก็ไม่เชิง

ชิปปุตะโกนขึ้น

“นั่นมันวอร์เตอร์ ดราก้อน! มะ มันแกร่งมากเลยนะ!”

สมแล้วที่ออกเดินทางเพื่อสะสมประสบการณ์โดยเฉพาะ แม้จะน่าเสียดายอยู่ว่าความรู้นั้นไม่มีประโยชน์อะไรเลยในสถาการณ์นี้ก็ตามที

วอร์เตอร์ ดราก้อนอ้าปากกว้าง และพ่นลมหายใจคล้ายลมกรรโชกเข้าจู่โจมทั้งสี่ตรงๆ ลาสโลยังพอยืดหยัดต้านไว้ได้ ทว่าชิปปุที่มีร่างกายเบานั้น ล้มกลิ้งหลุนๆ ไปกับพื้นเรือ

“สู้มัน!”

ลาสโลตะเบ็งเสียง แล้วจับดาบ เข้าฟาดฟันเจ้าสัตว์ประหลาด

เพื่อนๆ เองก็ขานรับ แล้วก้าวตามลาสโลไป ชิปปุก็มิได้หวาดหวั่น เขาสะบัดศีรษะ กระโดดขึ้นยืน กางกงเล็บแล้วกระโจนเข้าใส่อย่างกล้าหาญ ทั้งสี่หลบการโจมตีจากลมหายใจ แล้วผลัดกันเข้าจู่โจม ดูเหมือนว่าเจ้าวอร์เตอร์ดราก้อนนั้นจะเพียงแค่มีร่างกายที่ใหญ่โต และหัวเสียกับทั้งสี่ที่เคลื่อนไหววนไปมารอบๆ ไม่ยอมหยุด จึงเริ่มขยับร่างอย่างสับสนในทันใด ซึ่งก็ยิ่งทำให้เกิดช่องว่างมากขึ้นไปอีก

เจ้าสัตว์ประหลาดม้วนร่าง ตั้งท่าจะฟาดชิปปุด้วยหางซึ่งมีครีบ จึงลดความระแวดระวังต่อคนอื่นที่เหลืออีก 3 คนลงชั่ววูบ ลาสโลไม่ปล่อยให้ช่องว่างนั้นหลุดลอยไป

ลาสโลถีบตัวจากพื้นเรือ กระโดดสูงขึ้น ตั้งสมาธิแล้วเหวี่ยงดาบลงไปเต็มที่ ดาบปักลึกลงที่คอของเจ้าสัตว์ประหลาดราวครึ่งเล่ม วอร์เตอร์ดราก้อนส่งเสียงกรีดร้องแห่งวาระสุดท้าย แล้วจึงตกลงสู่ผืนทะเล โดยมีเลือดสีฟ้าคล้ำสาดกระจาย

“สำเร็จแล้ว!”

จูเอลร้องขึ้นอย่างยินดี ทว่าเรือลำน้อยกลับยิ่งถูกเกลียวคลื่นลูกใหญ่ม้วนตัวเข้าใส่มากขึ้นเรื่อยๆ

ว่ากันว่าวอร์เตอร์ดราก้อนนั้นเป็นมังกรที่ได้รับการคุ้มครองจากวารีดั่งเช่นชื่อของมัน เลือดของวอร์เตอร์ดราก้อนอาจจะทำให้ท้องทะเลยิ่งบ้าคลั่งขึ้นก็เป็นได้ คลื่นอันรุนแรงดันเรือเนรเทศให้ลอยสูงขึ้น แล้วก็โถมซัดให้ตกลงอีก

ไม้พายไม่มีประโยชน์ใดๆ เพียงแค่เกาะสิ่งที่อยู่ใกล้มือให้แน่น เพื่อไม่ให้ถูกเหวี่ยงออกไปนอกเรือที่เต็มกลืน น้ำทะเลโถมซัดสาดทั่วทั้งร่างจนแทบหายใจไม่ออก เสียงกรีดร้องของจูเอลกับชิปปุเหมือนจะดังมาจากที่ไหนซักแห่งไกลๆ

ต้องไปช่วย.... ถึงจะคิดเช่นนั้น แต่แม้กระทั่งจะลืมตาขึ้นก็ยังทำไม่ได้

และเมื่อกล่องไม้ที่กลิ้งเข้ามา กระแทกเข้าที่ศีรษะ ลาสโลก็หมดสติไป


Continue to Chapter5
Personal tools