Gensui4 Novel-1-01
จาก SuikoFriendWiki, สารานุกรมฟรี
Revision as of 14:04, 17 กันยายน 2007 Mokuri (พูดคุย | contribs) (→Genso Suikoden 4 Novel Vol.1-Chapter01) ← Previous diff |
Current revision Mokuri (พูดคุย | contribs) (→1-3) |
||
Line 430: | Line 430: | ||
---- | ---- | ||
- | <center>Continue To [[Chapter02]]</center> | + | <center>Continue To [[Gensui4 Novel-1-02|Chapter2]]</center> |
Current revision
สารบัญ |
Genso Suikoden 4 Novel Vol.1-Chapter01
1-1
เส้นขอบฟ้าที่คั่นกลางระหว่างท้องฟ้าสีฟ้าเข้มกับน้ำทะเลสีน้ำเงินนั้น ส่องประกายสีขาวราวกับริบบิ้นแสงเส้นบาง
ใบเรือกางขยายใหญ่ด้วยสายลมทะเลที่ให้ความรู้สึกสบาย ลาสโลยืนพิงกราบเรือ จ้องมองเส้นขอบฟ้าที่ขยับขึ้นลงอย่างแผ่วพริ้วนั้น
ไม่ว่าเวลาไหน ท้องทะเลอันกว้างใหญ่ก็ทำให้จิตใจของเขาสงบลงได้เสมอ แม้ในวันอย่างเช่นวันนี้ ก็ไม่เป็นข้อยกเว้น เมื่อได้จ้องมองท้องทะเลแบบนี้ เขาก็มักจะเผลอลืมเวลา อยากจะปล่อยร่างกายไปกับคลื่นที่พัดมา ให้ลอยไปถึงไหนต่อไหน
สิ่งที่ดึงให้ลาสโลรู้สึกตัวขึ้นก็คือ เสียงตะโกนของทัลที่ดังขึ้นข้างๆ กาย
- “วันนี้นี่เหมาะจะนั่งตกปลาจริงๆ น้า! วันที่อากาศดีๆ แบบนี้น่ะ มันชวนอยากให้นั่งห้อยสายเอ็นตกปลาทั้งวันเลย นี่ถ้าได้เอาคันเบ็ดมาด้วยก็ดีหรอก!”
ร่างกายที่แข็งแรงถูกเหยียดออกเต็มที่ สองแขนชูสูงขึ้นเหนือศีรษะ
- “ทัลนี่ล่ะก็”
จูเอลที่เดินวนไปวนมาอยู่บนดาดฟ้าเรืออย่างเคร่งเครียด ท้าวสองแขนเข้ากับเอวบางแล้วจ้องมองทัล
- “วันที่เหมาะจะนั่งตกปลาอะไรกัน นายเข้าใจรึเปล่าหาว่าวันนี้เป็นวันอะไร? ทำตัวสบายๆ ซะจริงๆ เลย!”
- “อะไรเล่า ไม่ใช่แค่ชั้นคนเดียวซักหน่อย ลาสโลเองก็สัปหงก จนท่าทางเหมือนจะหัวทิ่มลงน้ำเหมือนกันนี่นา....”
- “ตั้งใจหน่อยสิ ทั้งสองคน”
จูเอลตั้งท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่ก็ปิดปากเงียบลงเมื่อสังเกตเห็นสโนว์ที่เดินออกมาจากสะพานเรือ ทัลเองก็หันมองท้องฟ้าด้วยทีท่าไม่สบายใจ ตบบ่าลาสโลแล้วก็เดินจากไป
สโนว์ตรงเข้ามาลาสโลซึ่งถูกปล่อยให้ยืนอยู่เพียงคนเดียว ใบหน้าหมดจดซึ่งดูขาวไปซักนิดหากจะเรียกว่าลูกทะเลนั้นมีรอยยิ้มสดใสลอยเด่น เป็นใบหน้าที่ยิ้มแย้มไร้ซึ่งเมฆหมอกปกคลุมใดๆ เช่นเดียวกับท้องฟ้าในวันนี้
- “คุยอะไรกับพวกเค้าเหรอ ลาสโล”
- “เปล่านี่.... ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ ทัลเขาบอกว่าวันนี้เหมาะจะนั่งตกปลาน่ะ”
- “ตกปลา? สมกับเป็นพวกนั้นจริงๆ เลย พูดอะไรไม่ได้เรื่องในวันสำคัญแบบนี้กัน....”
สโนว์ขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจเล็กน้อย
ทัลเอง ก็คงไม่ได้คิดอยากจะตกปลาจริงๆ หรอกกระมัง คงเพียงแค่ระบายความเครียดโดยการพูดอะไรเล่นๆ ตามแบบของเขา ลาสโลนึกในใจ แต่ก็ลังเลที่จะพูดออกมาเช่นนั้นต่อหน้าสโนว์ เพราะรู้ดีว่าสโนว์นั้นไม่ได้ชอบใจกับนิสัยง่ายๆ สบายๆ ของทัลสักเท่าไรนัก
- “เธอคงไม่เป็นอะไรเนอะลาสโล อีกซักพักก็....”
เสียงตะโกนจากด้านหัวเรือ ดังขึ้นราวกับจะหยุดคำพูดของสโนว์ไว้
- “พบเรือข้าศึก 3 ลำทางทิศ 2 นาฬิกา! กำลังใกล้เข้ามาแล้วครับ!
ลาสโลสะดุ้งตกใจ แล้วทาบมือลงที่กราบเรือ จึงมองเห็นเรือข้าศึกซึ่งกำลังใกล้เข้ามาตามคำรายงาน เมื่อคิดว่าได้เวลาแล้ว ก็รู้สึกเกร็งอยู่บ้างเหมือนกัน
- “เอาล่ะ”
สโนว์ตอบกลับด้วยเสียงที่เข้มแข็ง แล้วจึงวางมือลงบนไหล่ของลาสโล
- “เป็นอะไรรึเปล่า? ท่าทางดูเธอเกร็งมากเลยนะ”
- “.... แค่นิดหน่อยน่ะ”
- “สบายใจเถอะ ฉันเป็นผู้บัญชาการอยู่ เพราะฉะนั้นไม่มีอะไรผิดพลาดหรอกน่า ไม่เป็นไร!”
สโนว์วาดแขนข้างหนึ่งขึ้นเป็นวงกว้าง แล้วกล่าวด้วยเสียงอันดังได้ยินทั่วกันชัดเจน
- “ทุกคน เข้าประจำพร้อมรบได้! ระวังการโจมตีจากปืนใหญ่ด้วย! ตรวจสอบปืนใหญ่เวทมนตร์ของศัตรูได้มั้ย?"
- “ครับ! ดูรูปแบบแล้ว ศัตรูติดตั้งปืนใหญ่ (น้ำ) และ (สายฟ้า) อยู่ครับ!”
- “ถ้างั้นทางเราก็ต้านด้วย (สายฟ้า) เคเนส เตรียมตัวด้วย”
- “ทราบแล้ว”
เคเนสซึ่งถนัดการใช้ปืนใหญ่พลังสายฟ้าเข้าประจำที่ตำแหน่งของพลปืนใหญ่
แม้จะเคยมีการฝึกการยิงปืนใหญ่เปล่ามาหลายต่อหลายครั้ง แต่ก็ยังไม่คุ้นเคยกับการรบทางทะเลโดยใช้ลูกปืนใหญ่จริงๆ ความเครียดปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่เอาจริงเอาจังของเคเนส สโนว์หันไปทางเขาพร้อมกับบอกว่า “ทำใจให้สงบแล้วยิง ไม่เป็นไรหรอก” แล้วจ้องมองไปยังเงาของศัตรูที่ใกล้เข้ามาทุกที
- “ล่อให้เข้ามาพอเหมาะก่อนนะ แล้วถึงค่อยยิง ยัง..... ยัง..... เอาล่ะ ยิงได้!”
เมื่อได้รับสัญญาณ ปืนใหญ่เวทย์ก็ยิงประกายเพลิงออกไป แรงสั่นสะเทือนวิ่งไปทั่วทั้งดาดฟ้าเรือ
ลูกปืนใหญ่ซึ่งเปล่งสีเขียวสว่างใส วาดแสงยาวพุ่งตรงไปยังเรือข้าศึก และโจมตีดาดฟ้าเรือของข้าศึกอย่างจัง โดยไม่มีการผิดพลาด
พวกทัลส่งเสียงร้องยินดี เคเนสซึ่งเยือกเย็นอยู่เสมอเอง ก็ยังรู้สึกร้อนผ่าวที่แก้มจากความตื่นเต้นที่สามารถทำหน้าที่ของตนได้สำเร็จลุล่วงอย่างงดงาม
สโนว์ยังคงสงบนิ่ง และออกคำสั่งกับพรรคพวกที่กำลังตื่นเต้นอย่างว่องไว
- “ยัง อย่าประมาทนะ! ศัตรูเองก็กำลังจะยิงเราเหมือนกัน! เตรียมการยิงโต้ตอบ!”
- “ครับ!”
บนดาดฟ้าเรือเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ถ้ายิงตอบโต้การยิงของศัตรูด้วยปืนใหญ่เวทย์ที่เหมาะสมได้สำเร็จล่ะก็ จะสามารถหักล้างพลังการยิงได้ ไม่สิ ถ้าเป็นไปได้ด้วยดีล่ะก็ นอกเหลือจากที่ฝ่ายนี้จะแทบไม่ได้รับผลกระทบใดๆ แล้ว ยังจะสามารถสร้างความเสียหายอย่างมากให้ศัตรูได้อีกด้วย ซึ่งจะสำเร็จหรือล้มเหลวนั้น ก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้บังคับบัญชา และฝีมือของพลปืนใหญ่
พวกลาสโลกลั้นหายใจ เฝ้ามองลูกปืนใหญ่ที่ทั้งสองฝ่ายยิงออกไป ลูกปืนที่เคเนสยิงออกไป ปะทะเข้ากับลูกปืนของศัตูรอย่างแม่นยำ
- “สำเร็จแล้ว!”
เสียงร้องของทัลดังก้องขึ้น ลูกปืนใหญ่ (สายฟ้า) สามารถลบล้างพลังของลูกปืนใหญ่ (น้ำ) ได้อย่างสมบูรณ์ ลูกปืนใหญ่ของเคเนสลอยลากแสงยาว และปะทะกับเรือของศัตรูอย่างรุนแรงอีกครั้งหนึ่ง
เป็นการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม แค่การยิงเพียง 2 ครั้ง ก็รุกไล่เรือของศัตรูจนขยับไปไหนไม่ได้ได้สำเร็จ
- “ทำได้ดีมาก เคเนส! เราชนะอย่างสมบูรณ์แบบเลย!”
ในขณะที่สโนว์ส่งเสียงร้องอย่างยินดี แล้ววิ่งตรงไปหาพลปืนใหญ่นั้นเอง ดาดฟ้าเรือก็สั่นสะเทือนด้วยแรงปะทะที่รุนแรง
- “อะไรน่ะ....!?”
ลาสโลตรงเข้าไปช่วยสโนว์ที่กำลังซวนเซอย่างรวดเร็ว
- “ศัตรูบุกครับ! พวกมันเอาเรือมาเทียบกับเรือของเราครับ!”
เสียงร้องอย่างเจ็บปวดของพลเฝ้าระวังดังขึ้น ระหว่างที่ทุกคนถูกการยิงโจมตีดึงความสนใจไป เรือความเร็วสูงก็เข้ามาเทียบใกล้ในจุดอับ
สโนว์หน้าซีดเผือดลง แต่ก็ตั้งสติได้ในทันทีแล้วออกคำสั่ง
“อย่าตกใจ! ศัตรูมีไม่มาก ไม่จำเป็นต้องไปกลัว! ทุกคน หยิบอาวุธแล้วสู้กับมัน!” “ครับ!”
เพื่อนๆ ทุกคนต่างร้องขึ้นพร้อมกัน ทัลหยิบเอาดาบยาวขึ้นมา แล้ววิ่งไปบนดาดฟ้าเรือ จูเอลผู้ว่องไวก็กุมดาบไว้ในมือข้างหนึ่ง แล้วออกก้าวตามทัลไป แน่นอน พอลล่าซึ่งเป็นเอลฟ์ และเคเนสซึ่งเพิ่งยิงปืนใหญ่ตอบโต้เสร็จก็ไม่รอช้าเช่นกัน ลาสโลสะบัดร่างกายแล้วจึงก้าวตามทุกคนไป
- -------ไม่เป็นไร ทำเหมือนอย่างตอนที่ฝึกซ้อมที่พอแล้ว
ถึงจะบอกตัวเองแบบนั้น แต่หัวใจก็มีแต่จะเต้นแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนที่ฝึกซ้อมนั้น ดาบที่ใช้เป็นดาบปลอมซึ่งถูกลับเอาคมออกแล้ว ทว่าในวันนี้ สิ่งที่อยู่ในมือของเขานั้นคือดาบจริง แม้ว่ารูปลักษณ์หรือน้ำหนักจะไม่ต่างจากดาบปลอม แต่อาวุธที่สามารถฟาดฟันผู้คนได้ก็มีน้ำหนักที่หยั่งไปไม่ถึงอยู่ดี
ศัตรูที่บุกเข้ามานั้นมีเพียง 2 คน เป็นชายร่างสูงใหญ่ กับหญิงร่างบอบบาง
ในด้านจำนวนแล้ว พวกลาสโลได้เปรียบกว่ามาก แต่หากเทียบกับพวกลาสโลที่ยังคงรู้สึกสับสนกับความหนักหน่วงของดาบจริงแล้ว ข้าศึกทั้งสองนั้นดูนิ่งสงบมาก
ทุกคนถูกรังสีการต่อสู้ที่แผ่ไปทั่วร่างของทั้งสองกดดัน แม้กระทั่งจูเอลหรือทัลที่ร่าเริงอยู่เสมอ ก็ยังหยุดยืนอยู่กับที่ กุมดาบในมือไว้แน่น
- “ไปกันเถอะ ลาสโล!”
สโนว์พูดด้วยเสียงอันดัง ลาสโลสะดุ้งกับเสียงนั้นและกระชับในมือดาบอีกครั้ง
สโนว์พุ่งเข้าจู่โจมอย่างกล้าหาญ ลาสโลเองก็กวัดแกว่งดาบอย่างลืมตัว พุ่งเข้าฟาดฟันทางฝ่ายชายก่อน
ชายคนนั้นปัดป้องดาบของสโนว์อย่างว่องไว ปลายดาบที่ตอบโต้กลับมามาพุ่งเข้าหาลำคอของลาสโลเต็มกำลัง
ลาสโลหยุดการเคลื่อนไหวในทันทีทันใด และในพริบตานั้นเอง ก็ถูกคทาที่หญิงอีกคนหนึ่งถืออยู่ฟาดเข้าที่สีข้างโดยแรง
แรงกระแทกที่รุนแรงส่งผลให้ลาสโลก้มงอตัวลงโดยไม่รู้ตัว ดีนะว่าเป็นคทา ถ้าเป็นดาบล่ะ ป่านนี้ตัวคงขาดสองท่อนไปแล้ว.....
- “--------มาได้แค่นี้สินะ”
ชายผู้นั้นกล่าวด้วยเสียงห้าวลึก แล้วจึงลดดาบลง สโนว์ปาดเหงื่อบนใบหน้า แล้วจึงตั้งท่าแสดงความเคารพ เหล่าอัศวินฝึกหัดที่ยืนรายล้อมอยู่รอบด้านไม่ได้ขยับไปไหนเอง ก็ต่างยกด้ามดาบไว้แนบอก และโค้มศีรษะลง
ชายผู้นั้น ------ เกล็น หัวหน้ากองอัศวินสมุทธไกเอ็น หันมองเหล่าอัศวินฝึกหัดด้วยสีหน้าไม่พอใจ และตะโกนด้วยน้ำเสียงตำหนิ
- “หย่อนยานกันจริงๆ! ปล่อยให้ศัตรูขึ้นเรือได้ง่ายๆ แบบนี้ ถ้านี่เป็นการต่อสู้จริงๆ ล่ะก็ คิดจะทำยังไงกันหา!”
- “ขออภัยด้วยครับ!”
สโนว์กล่าวตอบด้วยใบหน้าเผือดสี
คาตาริน่า รองหัวหน้ากองผู้งดงามซึ่งยืนอยู่ข้างเกล็นหัวเราะและกล่าวขึ้นบ้าง
- “การยิงจู่โจมนั้นยอดเยี่ยมมากค่ะ การฝึกซ้อมเพื่อสำเร็จการศึกษาก็จบลงสมบูรณ์แล้ว ตั้งแต่พรุ่งนี้ไป พวกเธอทุกคนจะไม่ใช่อัศวินฝึกหัดอีกแล้ว แต่จะกลายเป็นสมาชิกของกองอัศวินสมุทธไกเอ็นอย่างถูกต้องค่ะ”
หลังจากความเงียบชั่วอึดใจ เหล่าอัศวินฝึกหัดก็ส่งเสียงร้องแสดงความยินดีดังกึกก้อง ทัลโผกอดเพื่อนทุกคนไม่เลือกใครเป็นใคร จูเอลกับพอลล่าก็จับมือกัน กระโดดโลดเต้นไปรอบๆ ลาสโลเองก็เผลอยื่นมือไปหาสโนว์เช่นกัน และสโนว์ก็บีบมือนั้นกลับแน่นๆ
- “ยังไงก็สอบผ่านล่ะนะ แต่ยังห่างไกลจากคะแนนเต็มนัก พวกเจ้าทุกคนจงจำความผิดพลาดครั้งสุดท้ายนี้ใส่ใจให้ดี แล้วอย่าละเลยที่จะขัดเกลาตัวเองให้มากยิ่งขึ้นล่ะ!”
แม้กระทั่งคำพูดที่เข้มงวดของเกล็น ก็ไม่สามารถขัดขวางความยินดีได้ แม้จะถูกตักเตือน แต่เหล่าอัศวินฝึกหัดก็ต่างก็ตอบรับด้วยน้ำเสียงที่ร่าเริงว่า “รับทราบ!” เช่นนี้แล้ว แม้แต่หัวกองเกล็นเองก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาบ้าง
แล้วคาตาริน่าก็กล่าวขึ้นในทันทีนั้นเอง
- “กลับไปที่ลานฝึกหัดกันเถอะค่ะ หัวหน้ากองยังมีคำชี้แนะที่จะมอบให้ทุกๆ คนที่จะสำเร็จการศึกษา และแน่นอน ในคืนนี้ก็จะมีเทศกาลกำเนิดอัศวินด้วย สโนว์ เธอมีหน้าที่ใหญ่รออยู่สินะ?
- “ครับ!”
ในที่สุดสโนว์ก็หายจากอาการเกร็ง และยิ้มออกมาได้
หน้าที่อันยิ่งใหญ่ที่เขาได้รับ นั่นก็คือการจุดประทีปใน “พิธีจุดดวงประทีป” นั่นเอง
กองอัศวินไกเอ็นนั้น เป็นกองอัศวินอันแข็งแกร่ง ซึ่งทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยเหนือน่านน้ำ ในพื้นที่ด้านตะวันตกของกลุ่มประเทศหมู่เกาะเป็นหลัก โดยมีฐานทัพตั้งอยู่ ณ เกาะราสริลซึ่งอยู่ในการปกครองของอาณาจักรดยุค ไกเอ็น ที่ราสริลนี้เอง ในทุกๆ ปี จะมีงานเทศกาลที่ยิ่งใหญ่ เพื่อเฉลิมฉลองให้กับการถือกำเนิดของเหล่าอัศวินรุ่นใหม่ และสิ่งที่มีความหมายสำคัญมากที่สุดในเทศกาลนี้ก็คือ “พิธีจุดดวงประทีป” จึงกล่าวได้ว่าผู้ที่ทำหน้าที่จุดดวงประทีป ก็คือตัวเอกของงานเทศกาลนี้นั่นเอง
ทุกๆ ปี หน้าที่ใหญ่นี้จะถูกมอบหมายให้กับผู้ที่มีผลการเรียนเป็นเลิศที่สุดในเหล่าผู้สำเร็จการศึกษา แต่ในกรณีของสโนว์ซึ่งเป็นผู้ได้รับมอบหมายในปีนี้ นอกเหนือจากเรื่องของผลการเรียนแล้ว ยังมีเหตุผลอื่นแฝงอยู่อีก ท่านเค้าท์ฟิงเกอร์ฮู้ท ซึ่งเป็นบิดาของสโนว์นั้นคือผู้ครอบครองสิทธิเหนืออาณาบริเวณของราสริล และยังเป็นผู้มีกรรมสิทธิ์ในกองอัศวินไกเอ็นอย่างแท้จริงอีกด้วย ดังนั้น การเลือกผู้ทำหน้าที่ใหญ่ในปีนี้ จึงมีเรื่องเกี่ยวกับการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยไม่มีผิดอย่างแน่นอน
แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่มีใครที่กล่าวว่าร้ายสโนว์ว่า”อาศัยบารมีของพ่อ” ตัวสโนว์เองนั้นมีผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมอยู่เป็นนิจ นอกจากนั้นก็ยังมีการวางตัวที่ดีด้วย ดังนั้น แม้ในการฝึกซ้อมจำลองการรบเพื่อสำเร็จการศึกษา เขาก็ได้รับเลือกให้ทำหน้าที่กัปตันเรือด้วย เรือซึ่งบรรทุกเหล่าอัศวินฝึกหัด ลอยเคลื่อนตัวไปเรื่อยๆ ราวกับลื่นไถลไปบนท้องทะเลอันเงียบสงบ มุ่งเข้าสู่ท่าเรือราสริล
- “แม้แต่ทิวทัศน์ของท่าเรือที่เห็นมาจนชินตา ก็ยังรู้สึกว่าผิดไปจากเดิมยังไงไม่รู้แฮะ! โอ้~~!”
ทัลยื่นตัวออกไปเหนือกราบเรือแล้วกู่ร้องด้วยเสียงอันดัง ลาสโลเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน
ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเขาจะไม่ใช่อัศวินฝึกหัดอีกแล้ว พวกเขาจะได้กลายเป็นสมาชิกในกองอัศวินไกเอ็นดั่งที่เคยเก็บไปเห็นแม้ในความฝัน
1-2
พวกลาสโลที่ลงจากเรือมา ต่างก็มุ่งตรงไปยังปราการของกองอัศวินในทันที
อาคารซึ่งตั้งตระหง่านห่างจากกับท่าเทียบเรือไปไม่ไกลนี้ มีรูปลักษณ์ภายนอกอันสง่างาม เรียกได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ของราสริลก็ว่าได้ เมื่อก้าวผ่านประตูขนาดใหญ่เข้าไป ก็จะเป็นพื้นที่ของสวนกลาง และลานฝึกซ้อมก็ถูกจัดเอาไว้ ณ ด้านในของที่นั่นเอง ด้านขวามือนั้นมีโรงครัวและโกดังเก็บอาวุธ แล้วถ้าขึ้นไปบนหอคอย ก็จะพบกับห้องของหัวหน้ากอง
สถานที่ที่จะรับคำชี้แนะของหัวหน้ากองนั้น คือลานฝึกซ้อมซึ่งอยู่ ณ ส่วนลึกที่สุดของตัวอาคาร ลาสโลไปเข้าแถวรวมกับพวกสโนว์ แล้วรอให้หัวหน้ากองมาถึง
เมื่อทุกคนยืนเรียงแถวเรียบร้อย เกล็นจึงก้าวขึ้นบนแท่นยืน และค่อยๆ มองดูใบหน้าของเหล่าผู้สำเร็จการศึกษาแต่ละคน
- “พวกเจ้าได้ผ่านการฝึกฝนทั้งหมดแล้วในวันนี้ และจะกลายเป็นสมาชิกของกองอัศวินไกเอ็นอย่างถูกต้อง ข้าอยากจะบอกเล่าประสบการณ์ของข้าให้พวกเจ้าฟัง ในโอกาสที่พวกเจ้าได้สำเร็จการศึกษาในวันนี้”
เอาแล้วเอาแล้ว เสียงกระซิบกระซาบของจูเอลลอยแว่วมาเข้าหูของลาสโล พอลล่าซึ่งเอาจริงเอาจังก็คงจะทำสีหน้าตำหนิอยู่
ลาสโลเอง ก็พอจะเดาเรื่องที่หัวหน้ากองกำลังจะพูดได้ เรื่องที่หัวหน้ากองจะพูดให้ฟังด้วยน้ำเสียงแบบนี้นั้นมีอยู่เพียงเรื่องเดียว เรื่องที่เคยได้ฟังมาแล้วหลายต่อหลายครั้งในระหว่างการเรียน
“นี่เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อ 7 ปีที่แล้ว กองเรือของพวกเรา กองอัศวินไกเอ็น 4 ลำ ได้ถูกเรือของ คูลูคเพียงลำเดียว จมลงจนหมด”
แล้วก็เป็นเรื่องนี้จริงๆ ด้วย อย่างเช่นทัล..คงเพราะความเหนื่อยล้าจากการฝึกซ้อมเมื่อช่วงกลางวันเริ่มทำพิษ..ก็เริ่มสลึมสลือสัปหงก ผงกหัวขึ้นลง หรืออัศวินฝึกหัดคนอื่นๆ เอง ก็เริ่มส่งสายตาไปมากันอย่างเบื่อๆ ว่า “ไอ้นั่น อีกแล้วแฮะ”
ลาสโลก็รู้สึกผิดหวังอยู่บ้างเหมือนกัน แน่นอนว่า พอคิดว่าเป็นคำชี้แนะที่จะได้รับเนื่องในโอกาสที่สำเร็จการศึกษาแล้ว ก็ต้องวาดหวังเป็นธรรมดาว่าจะได้ฟังคำชี้แนะที่แปลกใหม่บ้าง ไม่ใช่เรื่องที่ฟังกันมาจนเบื่อ.... ชวนให้ง่วงนอนแบบนี้
เกล็นมองดูสีหน้าของเหล่าอัศวินฝึกหัดก็เข้าใจดี จึงหรี่ตาลงเล็กน้อย
- “ถึงตรงนี้ พวกเจ้าทุกคนคงฟังกันมาจนเบื่อแล้วสินะ แต่คนที่รู้ถึงรายละเอียดของเรื่องนี้ด้วย คงจะมีไม่มากนัก ถ้าถามว่าทำไม นั่นก็เป็นเพราะว่าความทรงจำเมื่อครั้งนั้นเป็นความทรงจำที่แสนเจ็บปวด ทำให้คนที่รู้เรื่องราว ไม่อยากที่จะพูดถึงมันนัก ------- รวมทั้งตัวข้าเองด้วย”
สีหน้าของเหล่าอัศวินฝึกหัดเปลี่ยนไปเล็กน้อย ทัลเองก็ถูกเคเนสกระทุ้งจนตื่นขึ้นมา
- “ผู้ที่ทำหน้าที่ผู้บัญชาการของเรือคูลูคในครั้งนั้น เป็นคนหนุ่มที่อายุไม่ต่างจากพวกเจ้ามากนัก จอมยุทธศาสตร์ชั้นแนวหน้าของทัพเรือคูลูค อัจฉริยะแห่งยุทธนาวีผู้ได้รับสมญานามว่า “บุตรของเทพแห่งท้องทะเล” เขามีชื่อว่า ทรอย จงจำชื่อนี้เอาไว้ให้ดี นั่นเป็นชายที่จะมาเป็นศัตรูของพวกเจ้าอย่างแน่นอน”
เหล่าอัศวินฝึกหัด ต่างเหลือบส่งสายตาหากัน ไม่ใช่การส่งสัญญาณกันแบบสบายๆ อย่างเมื่อครู่นี้ มีความไม่สบายใจฉาบอยู่บนทุกใบหน้า ลาสโลเองก็จ้องมองใบหน้าของเกล็นอย่างสงสัยด้วยความรู้สึกที่ไม่สงบเช่นเดียวกัน
- ------- คนหนุ่มที่อายุไม่ต่างจากพวกเรามาก? นำเรือเพียงลำเดียว จมเรือของทัพไกเอ็นได้ถึง 4 ลำ?
กองอัศวินสมุทรไกเอ็นนั้นเป็นกองอัศวินอันแข็งแกร่ง ซึ่งภาคภูมิในการฝึกฝนโดยไม่ว่างเว้นและยุทโธปกรณ์ที่ครบครัน การที่คนหนุ่มซึ่งยังอ่อนประสบการณ์จะสามารถเอาชนะเรือของกองอัศวินทั้ง 4 ลำได้นั้น เป็นเรื่องเกินกว่าจินตนาการ ยากที่จะเชื่อได้
ทรอยแห่งคูลูค นามนั้นสลักลึกลงในใจของลาสโล
- “เราจะปล่อยให้ความอัปยศแบบนั้นเกิดขึ้นอีกไม่ได้เด็ดขาด ข้าหวังในตัวพวกเจ้าทุกๆ คน จงเป็นอัศวินที่เหนือกว่าทรอยให้ได้! อนาคตของไกเอ็นฝากอยู่บนบ่าของพวกเจ้าทุกคน ข้ามีคำชี้แนะให้พวกเจ้าเพียงเท่านี้ ยินดีด้วยที่สำเร็จการศึกษา”
เหล่าอัศวินฝึกหัด ต่างยกมือขวาขึ้น แสดงความเคารพโดยพร้อมเพรียง หัวหน้ากองเกล็น รวมทั้งรองหัวหน้ากองคาตาริน่าซึ่งยืนเฝ้ามองดูเคียงข้างเอง ก็ต่างยกมือขึ้นเช่นเดียวกัน
เมื่อการชี้แนะจบลง ก็ถึงเวลาที่งานเทศกาลจะเริ่มขึ้น ลาสโลจึงออกไปยังตัวเมืองพร้อมกับสโนว์
1-3
ความมืดเริ่มเข้าปกคลุมท่าเรือของราสริล พอเดินเคียงคู่ไปกับสโนว์ ก็มีผู้คนที่เดินทางมายังเมืองท่าเรือเรียกให้หยุด และเข้ามาพูดคุยด้วยหลายต่อหลายครั้ง
- “คุณหนูสโนว์ ยินดีด้วยนะครับที่จบการศึกษา”
- “หน้าที่ในพิธีจุดดวงประทีป พยายามเข้านะคะ”
ผู้คนในเมืองต่างกล่าวแสดงความยินดีให้กับบุตรชายของเจ้าเมืองเค้าท์ฟิงเกอร์ฮู้ทอย่างอบอุ่น และในทุกๆ ครั้งสโนว์ก็จะหยุดฝีเท้า แล้วตอบรับอย่างเป็นกันเอง คนที่เข้ามาพูดคุยกับลาสโลที่ยืนหลบด้านหลังก็มีเช่นกัน แต่ก็จะพูดเป็นทำนองว่า “คอยช่วยคุณหนูทำหน้าที่ให้ดีล่ะ” กันเสียเป็นส่วนใหญ่
ผู้คนในเมืองนี้ส่วนใหญ่ รู้ถึงความสัมพันธ์ของลาสโลกับสโนว์ดี ลาสโลนั้นเป็นเด็กกำพร้า ซึ่งลอยมาติดท่าเรือราสริลเมื่อ 15 ปีที่แล้ว ว่ากันว่า บางทีเขาอาจจะรอดชีวิตมาได้อย่างปาฏิหาริย์จากเรือที่อับปาง แต่ก็ไม่มีใครรู้ว่าบิดามารดาของเขายังมีชีวิตรอดหรือไม่
ชื่อลาสโลนี้ ก็ดูเหมือนว่าจะเป็นชื่อที่ชาวเมืองที่เก็บเขาได้นั้นปรึกษากันแล้วตั้งให้ เป็นการตั้งชื่ออย่างง่ายๆ เด็กทารกที่ลอยมาถึงที่ราสริล เพราะฉะนั้นก็ชื่อลาสโล แม้จะถูกล้อเลียนอยู่เป็นประจำว่าเป็นชื่อเชยๆ แต่ลาสโลก็ชอบชื่อของตัวเอง มันทำให้เขารู้สึกภาคภูมิใจว่าตนเองเป็นชาวราสริล
และผู้ที่รับตัวเขาไปเลี้ยงดูก็คือท่านเค้าท์ฟิงเกอร์ฮู้ท เพราะลาสโลอยู่ในวัยใกล้เคียงกับบุตรชายคนเดียวของเจ้าเมือง จึงได้รับการเลี้ยงดูให้เป็นเพื่อนเล่นและผู้ติดตามของสโนว์ การที่เขาสามารถเข้ารับการฝึกอบรมเป็นอัศวินฝึกหัดของกองอัศวินได้ ก็เป็นเพราะได้ท่านเค้าท์ช่วยจัดการเรื่องให้นั่นเอง
สโนว์ซึ่งเป็นคนเป็นกันเองนั้นไม่ถือเรื่องฐานะ และผูกไมตรีกับเขาอย่างเพื่อนที่เท่าเทียมกัน แต่ลาสโลก็ไม่เคยลืมบุญคุณที่ท่านเค้าท์มีต่อตน แม้จะได้เป็นอัศวินฝึกหัดที่มีฐานะเท่าเทียมกัน แต่ลาสโลก็จะถอยออกมาก้าวหนึ่ง และคอยส่งเสริมสโนว์อยู่เสมอ และนั่นก็กลายเป็นพฤติกรรมที่เป็นไปโดยธรรมชาติสำหรับลาสโลไป
- “ลาสโล! ยินดีด้วยนะที่เรียนจบ!”
ลาสโลหยุดฝีเท้าลง เพราะถูกทักอย่างไม่คาดคิดโดยกะทันหัน คนที่เรียกชื่อตนแทนที่จะเป็นสโนว์นั้น มีอยู่ไม่มากนัก
ที่วิ่งใกล้เข้ามานั้นก็คือชิปปุ ซึ่งเป็นเนโกะโบลท์ พอสโนว์ได้เห็นเขาเข้าก็ส่งเสียงร้อง “หวา” อย่างตกใจ
เนโกะโบลท์เป็นสิ่งมีชีวิตที่มีรูปร่างประหลาด ใบหน้าของพวกเขานั้นเหมือนกับแมวไม่ผิดเพี้ยน แต่จะยืนตรงด้วย 2 ขา และมีส่วนสูงโดยประมาณใกล้เคียงกับมนุษย์ที่มีรูปร่างเล็ก และมีมันสมองไม่ต่างกับมนุษย์ สามารถสื่อสารได้ด้วยคำพูดตามปกติ แน่นอน พวกเขาเอาใจใส่ในรูปลักษณ์ของตนด้วย จึงสวมใส่เสื้อผ้าและรองเท้าเช่นเดียวกับมนุษย์ ถ้ามองดูไกลๆ ก็จะมองเห็นเป็นเหมือนกับคนที่ใส่หน้ากากรูปแมว แต่นัยน์ตาที่ส่งประกายสีทองในความมืดนั้นก็คือลักษณะพิเศษ ที่บ่งบอกว่านั่นคือชนเผ่านี้นั่นเอง
- “ไง ชิปปุ เธอก็มาเที่ยวงานเทศกาลเหรอ?”
- “เปล่า ไม่ใช่หรอก ฉันยังเหลืองานต้องเก็บกวาดที่ร้านอยู่อีก เจ้านายฉันน่ะ ใช้คนโหดจะตายไป พอดีเห็นลาสโลเดินผ่านมา ก็เลยมาแสดงความยินดีด้วยเฉยๆ น่ะ”
- “ขอบคุณนะ”
- “ถ้างั้น พรุ่งนี้ก็พยายามปฏิบัติหน้าที่เข้านะ”
แล้วชิปปุก็วิ่งกลับไปทางด้านย่านร้านค้าอย่างรีบเร่ง
การที่ได้เห็นเนโกะโบลท์ในเมืองนี้ถือเป็นเรื่องแปลก ถิ่นเกิดของพวกเขานั้นอยู่ที่เกาะเนย์ซึ่งตั้งอยู่ห่างไปทางตะวันออกของราสริล
ชิปปุถือเป็นเนโกะโบลท์แปลกๆ ที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เดินทางมายังราสริลเพียงคนเดียว เขาทำงานพิเศษอยู่ที่ร้านขายอุปกรณ์ เพราะเป็นคนขยันขันแข็งและนิสัยดี จึงเป็นที่ชื่นชอบของชาวเมือง ลาสโลต้องไปที่ร้านขายอุปกรณ์อยู่เป็นประจำเพราะงานที่บ้านฟิงเกอร์ฮู้ท จึงคุ้นหน้าคุ้นตากับชิปปุดี
ส่วนสโนว์นั้น แทบไม่เคยออกไปซื้อหาของด้วยตนเอง จึงดูเหมือนจะไม่เคยรู้จักชิปปุ หลังจากชิปปุวิ่งหายลับไปแล้ว ก็พึมพำด้วยทีท่าหวาดๆ
- “เคยได้ยินเขาลือกันอยู่บ้างเหมือนกัน แต่เพิ่งจะเคยได้เห็นกับตานี่แหละ นั่นคือเนโกะโบลท์เหรอ....”
- “เขาเป็นคนดีนะ”
- “เหรอ ถ้าเธอว่าอย่างนั้นก็คงจะใช่ล่ะนะ แต่ฉันคงจะไม่ถูกโรคกับเขาเท่าไหร่หรอก....”
สโนว์เอ่ยเหมือนเพื่อตั้งสติ แล้วจึงยิ้มอย่างแจ่มใส
- “เอาล่ะ ไปกันเถอะ พิธีจุดดวงประทีปจะเริ่มแล้ว”
สโนว์รับเอาคบเพลิงขนาดใหญ่จากชาวเมืองคนหนึ่งมาถือไว้ แล้วยกชูขึ้นด้วยท่าทางที่เต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจ เมื่อได้เห็นสโนว์เช่นนั้น หัวใจของลาสโลก็ถูกเติมเต็มด้วยความภาคภูมิเช่นเดียวกัน เสียงถอนหายใจดังเล็ดลอดจากกลุ่มผู้คน แล้วเสียงปรบมือดังกังวานขึ้น ทุกคนต่างก็เปิดทางให้กับสโนว์
- “ยินดีด้วยค่ะที่สำเร็จการศึกษา”
- “โปรดช่วยปกป้องราสริลตลอดไปด้วยนะครับ”
ผู้คนที่ถือคบเพลิงอันเล็กๆ ต่างก็ต้อนรับการมาของสโนว์ พร้อมทั้งกล่าวอวยพรเป็นเสียงเดียวกัน สโนว์ค่อยๆ ก้าวผ่านทางเดินซึ่งปูด้วยหิน และจุดไฟที่คบเพลิงของผู้คนที่ยืนเรียงรายอยู่ทั้งซ้ายและขวา นี่คือ “พิธีจุดดวงประทีป” ซึ่งมีความสำคัญอย่างที่สุดในปีหนึ่งๆ ของราสริล เป็นพิธีการอันเป็นสัญลักษณ์ เพื่อเชื่อมโยงจิตใจของสมาชิกกองอัศวินและชาวบ้านราสริลเข้าไว้ด้วยกัน รวมถึงเพื่อผูกพันตัวตนของกองอัศวินเข้ากับดินแดนแห่งนี้ให้มั่นคง
เมื่อจุดคบเพลิงไปได้ราวครึ่งหนึ่ง สโนว์ก็หันมาหาลาสโล
- “เธอจะลองดูบ้างไหมล่ะ?”
- “….เอ๋?”
ลาสโลส่ายศีรษะอย่างตกใจ พิธีจุดดวงประทีป เป็นหน้าที่สำคัญของผู้เป็นตัวแทนของเหล่าผู้สำเร็จการศึกษาจากกองอัศวิน ไม่ใช่หน้าที่ที่เหมาะสมกับคนอย่างตน
แต่สโนว์ก็หัวเราะ และส่งคบเพลิงให้กับลาสโล
- “ไม่ต้องเกรงใจน่า เธอเองก็จบมาด้วยผลการเรียนที่ยอดเยี่ยมนี่นา”
- “แต่ว่า....”
- “มีฉันเด่นอยู่คนเดียว มันเขินๆ น่ะ ทำแล้วรู้สึกดีทีเดียวล่ะ เธอเองก็ลองบ้างเถอะ”
ลาสโลอยากจะปฏิเสธ แต่ในเวลาแบบนี้ สโนว์ไม่เคยเลิกราอะไรง่ายๆ จนในที่สุดลาสโลก็ต้องรับเอาคบเพลิงมาถือในสภาพเหมือนถูกยัดเยียดอยู่ครึ่งหนึ่ง
ลาสโลจึงเริ่มจุดคบเพลิงของชาวเมืองต่อไปอย่างเกรงๆ
- “เอ๋ ไม่ใช่คุณหนูสโนว์หรอกเหรอ?”
- “ลาสโล ทำไมถึงเป็นเจ้าล่ะ?”
ยิ่งถูกทักอย่างสงสัยเรื่อยๆ ลาสโลก็เริ่มอยากจะหนีไปจากที่นี่ขึ้นมาทีละนิด แต่สโนว์ก็ช่วยอธิบายว่า “ฉันขอให้ลาสโลเขาช่วยทำแทนน่ะ” กับชาวเมืองทีละคนๆ จนในที่สุดลาสโลก็ยิ้มออกมาได้ เมื่อได้รับคำอวยพรด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสาว่า “ยินดีด้วยนะคะ” จากเด็กหญิงตัวน้อยคนหนึ่งหลังจากที่จุดคบเพลิงให้เธอ แม้ความขัดเขินจะยังไม่หายไป แต่เขาก็รับรู้ได้โดยตรงถึงความรู้สึกของชาวเมืองทั้งเมืองที่อวยพรให้กับการสำเร็จการศึกษาของพวกเขา เขารู้สึกได้ถึงความยินดีและความภาคภูมิอย่างเต็มเปี่ยม และสำนึกได้อีกครั้งว่าตนไม่ใช่อัศวินฝึกหัดอีกต่อไปแล้ว แต่เป็นสมาชิกคนหนึ่งของกองอัศวินไกเอ็นที่จะปกป้องเมืองนี้และเกาะนี้
เมื่อจุดคบเพลิงครบทั้งหมดแล้ว สโนว์ก็พูดขึ้นด้วยเสียงอันดัง
- “ดูสิ ลาสโล แสงไฟจากคบเพลิง มีตั้งขนาดนี้!”
ถนนที่ทั้งสองเดินผ่านมานั้น เป็นทางลาดเอียงอยู่เล็กน้อย เมื่อมองจากลานกว้างซึ่งอยู่ด้านบนลงไป ก็จะสามารถเห็นทางลาดที่เชื่อมยาวไปถึงทะเลได้ทั้งหมด เปลวไฟสีส้มที่ลุกโชติ มองเห็นได้เป็นจุดเล็กๆ ในความมืดนั้น สั่นไหวเข้ากับการเคลื่อนไหวของผู้คน เป็นทิวทัศน์ที่งดงามขนาดที่ทำให้ลืมหายใจได้เลยทีเดียว
ลาสโลได้เห็นพิธีจุดดวงประทีปมาทุกปีๆ แต่พอได้มามองดู ในขณะที่พวกตนคือผู้จบการศึกษาแล้ว ความรู้สึกลึกๆ ที่แปลกออกไปก็เอ่อท้นขึ้นมา แม้กระทั่งเสียงคลื่นเบาๆ ที่ได้ยินอยู่มิได้ขาดหากอยู่ในเมืองนี้ ก็ยังรู้สึกว่าในคืนนี้มันดังสะท้อนแปลกไปจากที่เคยเป็นมา
- “ยอดไปเลยเนอะ.... ถ้าคืนวันที่สงบสุขแบบนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ก็คงจะดี....”
สโนว์พึมพำปนกับถอนหายใจ แล้วจึงหันมามองหน้าลาสโลพร้อมกับหัวเราะอย่างขัดเขิน
- “โอ๊ะ ฉันคงจะอารมณ์อ่อนไหวมากไปสำหรับคนที่เป็นสมาชิกของกองอัศวินเนอะ ที่ฉันที่พูดเมื่อกี้ลืมๆ ไปเถอะนะ”
ลาสโลยิ้มรับคำพูดนั้น ถ้าให้พูดตามตรงแล้ว ลาสโลเองก็รู้สึกเหมือนๆ กับสโนว์ แน่นอน เมื่อได้รับการฝึกฝนที่เข้มงวดมา เขาก็นึกอยากที่จะออกทะเลไปกวาดล้างสัตว์ประหลาดหรือพวกโจรสลัดเร็วๆ เช่นกัน แต่ยิ่งไปกว่านั้น ยังไง เขาก็อดไม่ได้ที่จะอธิษฐานขอว่า ถ้าคืนวันอันเรียบง่ายและสงบสุขนี้ดำเนินต่อไปเรื่อยๆ ก็คงจะดี ถ้าเปลวเพลิงอันงดงามที่สว่างไสวอยู่ในเมืองเช่นคืนนี้ ลุกโชนต่อไปอย่างสงบเงียบตลอดทั่วกาลนานก็คงจะดี
มีการนำโต๊ะตัวใหญ่มาตั้งที่ลานกว้าง และอาหารกับเหล้าก็ถูกลำเลียงมาวางไว้ เสียงหัวเราะต่อกระซิกและเสียงร้องเพลงดังๆ ของเพื่อนๆ ร่วมกองอัศวินลอยมาให้ได้ยิน ทัลกับเคเนส จูเอล และพอลล่า ก็อยู่ที่นั่นเช่นกัน สโนว์เหลือบมองไปทางพวกเขา แล้วจึงเอ่ยกับลาสโล
- “เธอไปหาพวกเค้าเถอะ เดี๋ยวฉันจะกลับไปที่บ้าน”
- “.........เอ๋?”
- “ท่านพ่อจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้น่ะ ผู้มีอิทธิพลในราสริลก็จะมาร่วมงานด้วย ถึงจะน่าอึดอัด แต่ตัวเอกของงานอย่างฉันจะไม่โผล่หน้าไปก็คงไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ?”
สโนว์ยักไหล่ด้วยท่าทางเหมือน “ช่วยไม่ได้เนอะ” แล้วจึงออกวิ่งไปอย่างว่องไว ลาสโลมองส่งแผ่นหลังนั้น แล้วจึงเดินไปหาพวกเพื่อนๆ
- “ไง ลาสโล คุณหนูไปไหนซะแล้วล่ะ?”
ทัลซึ่งอุ้มจานใส่อาหารใบใหญ่เอาไว้ส่งเสียงทักลาสโล ทัลนั้นเป็นที่รู้จักกันดีในฐานะคนที่กินจุที่สุดในหมู่อัศวินฝึกหัด ใบหน้าของเขาที่ได้ทำให้อาหารในคืนนี้อันตรธานหายไปนั้น ดูมีความสุขราวกับต้องมนตร์เลยทีเดียว
การที่ทัลเอ่ยปากเรียกคุณหนูนั้น ไม่ได้มีความหมายตรงตามนั้นซักเท่าไรนักหรอก มันเป็นคำพูดแดกดันต่างหาก ลาสโลทำเป็นไม่รู้สึกตัวและตอบกลับไป
- “เขากลับที่ไปคฤหาสน์แล้วล่ะ เห็นว่าท่านเค้าท์ฟิงเกอร์ฮู้ทจะจัดงานฉลองให้น่ะ”
- “งั้นเองเหรอ! แปลว่าอาหารที่จัดไว้ที่ลานกว้างนี่คงจะไม่ถูกปากสินะ สมกับเป็นคุณหนู ลิ้นเรื่องมากซะจริง”
- “ทัล สโนว์เขาไม่ได้คิดแบบนั้นนะ....”
- “ชั้นรู้น่า”
ทัลกัดเนื้อไก่ติดกระดูกด้วยฟันขนาดใหญ่ แล้วพึมพำขึ้น
- “นี่ ลาสโล”
- “..........?”
- “ชั้นว่านายน่ะ ทดแทนบุญคุณให้ตระกูลฟิงเกอร์ฮู้ทมามากพอแล้วนะ นายทำงานให้เค้า ไม่ได้หยุดได้หย่อนมาตั้งแต่สมัยเด็กแล้วไม่ใช่เหรอ? ตั้งแต่พรุ่งนี้ไปนายจะเป็นอัศวินเต็มตัว ไม่ใช่คนรับใช้ของสโนว์อีกแล้ว ไม่ต้องไปเกรงอกเกรงใจสโนว์ให้มากนักหรอกน่า”
- “ฉันก็ไม่ได้คิดจะเกรงใจอะไรนะ”
- “นายอาจจะไม่ได้คิดก็จริง แต่พอมองจากข้างๆ แล้วน่ะ....”
ทัลเอ่ยพร้อมกับเหลือบมองหน้าของลาสโล แล้วจึงเลิกคิ้วอย่างอารมณ์ไม่ดี
- “โทษที ชั้นพูดมากไปสินะไม่ใช่เรื่องที่คนนอกอย่างชั้นควรจะสอดปากนี่นะ”
- “……ไม่หรอก”
ลาสโลเข้าใจความรู้สึกของทัลดี เขากำลังหงุดหงิดกับลาสโลที่มักจะซ่อนตัวอยู่ในเงาของสโนว์เสมอๆ
ในกลุ่มอัศวินฝึกหัดรุ่นเดียวกันในลานฝึกซ้อม ก็มีคนที่ล้อเลียนลาสโลซึ่งๆ หน้าว่า “เจ้าขี้ปลาทอง” หรือเรียกว่าเป็นคนรับใช้ของสโนว์แล้วหัวเราะเยาะอยู่ นานๆ เข้า ทัลก็รู้สึกเจ็บแค้นขึ้นมาจริงๆ จังๆ จนมีปากมีเสียงกับเพื่อนร่วมรุ่นที่ไม่เป็นมิตรเหล่านั้นมาแล้ว จนลาสโลเองกลับต้องเป็นฝ่ายเข้าไปห้ามทัลที่โกรธจนลืมตัวเสียด้วยซ้ำ ซึ่งก็ไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง
เขาดีใจที่ทัลนึกถึงตัวเขา แต่ลาสโลก็ไม่คิดที่จะเปลี่ยนแปลงจุดยืนของตนเอง ถ้ามีใครอยากจะหัวเราะเยอะ ก็ปล่อยเขาไปเถอะ ถ้าไม่ได้ตระกูลฟิงเกอร์ฮู้ท เขาก็คงมีชีวิตรอดมาจนถึงบัดนี้ไม่ได้ เขาตัดสินใจแล้วว่าจะจงรักภักดีต่อตระกุลฟิงเกอร์ฮู้ทโดยไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งในอดีต และต่อจากนี้เรื่อยไป
- “สวัสดีจ้า คุยอะไรกันอยู่เหรอทั้งสองคน?”
จูเอลมาถึงพร้อมกับส่งเสียงร่าเริง พอลล่ากับเคเนสก็ยืนอยู่ด้านหลังนั้นเอง
ทุกคนเป็นเพื่อนที่ใจตรงกันมากที่สุดในหมู่อัศวินฝึกหัดรุ่นเดียวกัน จูเอลเป็นเด็กสาวร่าเริง มีผมสีพลาติน่า บลอนซ์ ตัดสั้น แม้รูปร่างภายนอกจะดูบอบบาง แต่ในฐานะนักรบ เธอมีคุณสมบัติที่ยอดเยี่ยมอยู่เต็มเปี่ยม สัญลักษณ์สามเหลี่ยมสีแดงที่ติดที่หน้าผากนั้น ดูเหมือนจะเป็นประเพณีที่สืบทอดกันมาในเกาะนานัล ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ เจ้าตัวเองนั้นเล่าว่าตัวเธอไม่กินเส้นกับหัวหน้าเกาะหัวแข็ง จึง “เผ่น” ออกจากบ้านเกิดมา ด้วยความที่ร่าเริงสดใสอยู่เสมอ เธอจึงกลายเป็น มู้ด เมคเกอร์ ของกลุ่มไป
ตรงกันข้าม ฝ่ายพอลล่านั้นเป็นเด็กสาวชาวเอลฟ์ที่นิ่งเงียบ แม้จะเป็นคนละเผ่าพันธุ์กัน แต่นอกเหนือจากใบหูที่มีปลายแหลมแล้ว เธอก็แทบจะไม่ต่างอะไรกับมนุษย์เลย ทว่านั่นเป็นเพียงแค่เรื่องของรูปลักษณ์ภายนอกเท่านั้น พลังที่สามารถรับรู้ได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติหรือเสียงแม้เพียงน้อยนิดได้นั้น อย่างไรเสียก็ไม่อาจนำมาเปรียบกับมนุษย์ได้ เนื่องจากเธอไม่ค่อยพูดมากนัก จึงถูกตีภาพลักษณ์ว่าเป็นคนเย็นชาอยู่บ้าง แต่ถ้าได้คบหาจนสนิทสนมแล้ว ก็จะรู้ว่าเธอมีจิตใจที่อ่อนโอนและละเอียดอ่อน
ฝ่ายเคเนส ก็คือเจ้าของผลงานดีเด่นผู้มีส่วนอย่างมากในศึกยิงจู่โจมของวันนี้ ในบรรดาอัศวินฝึกหัดรุ่นเดียวกัน เขามีผลการเรียนดีเด่นเทียบเคียงได้กับสโนว์ โดยเฉพาะความสามารถในการอ่านกระแสน้ำ หรือการพยากรณ์อากาศของเขานั้นโดดเด่นเหนือกว่าใคร ในขณะที่ทุกคนคุยเล่นกันสนุกสนาน เขาชอบที่จะถอยออกมาก้าวหนึ่ง และเฝ้ามองความเป็นไปโดยรวมอยู่เสมอ แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น ก็ใช่ว่าเขาจะเข้ากับคนอื่นได้ไม่ดี บ่อยครั้งที่เขาแกล้งร่วมวงกับการเล่นซุกซนเรื่อยเปื่อยของจูเอล จนโดนหัวหน้ากองเกล็นเล่นงานเสียยกใหญ่ จะเรียกว่าเป็นเสนาธิการที่พึ่งพาได้ก็ว่าได้
- “นายน่ะ ห้ามกินเยอะจนเกินไปนะ ทัล” จูเอลกำหมัดแล้วยกชูขึ้น
- “เพราะตั้งแต่พรุ่งนี้ไป เราจะเป็นสมาชิกคนหนึ่งของกองอัศวินแล้ว! ต้องรีบตื่นแต่เช้า แล้วไปปฏิบัติหน้าที่แรกนะ!”
- “หน้าที่แรก จะเป็นยังไงนะคะ”
ผู้ที่ตอบคำถามของพอลล่าก็คือเคเนส
- “คงเป็นการลาดตระเวนทะเลใกล้ๆ ล่ะนะ ชั้นได้ยินจากรุ่นพี่ที่จบปีที่แล้วน่ะว่าช่วงแรกๆ ก็มีแต่หน้าที่ง่ายๆ แบบนั้นนั่นล่ะ”
- “ลาดตระเวน.... ก็คือการวนดูรอบๆ ใช่ม้า ต้องทำด้วยเหรอ? น่าเบื่อชะมัดเลย”
จูเอลอัดกำปั้นทั้งสองข้างเข้าด้วยกัน แล้วเอ่ยอย่างไม่พอใจ
- “ไม่มีงานที่จะได้ใช้ฝีมือมากกว่านี้มั่งเหรอ อย่างเช่นไปปราบพวกโจรสลัดให้เละ! หรือไปลุยกับทัพเรือคูลูคซักตั้งน่ะ!”
- “เฮ้เฮ้ อย่าพูดเรื่องอันตรายอย่างนั้นน่า งานแบบนั้นจะวนมาถึงพวกเราที่เพิ่งเรียนจบสดๆ ร้อนๆ ได้ไงเล่า แล้วพักนี้พวกโจรสลัดก็ค่อนข้างจะอยู่กันแบบสงบเสงี่ยมซะด้วย”
- “ไม่หรอก ได้ยินข่าวลือเรื่องบลันด์ เรือหกเสาบ้างมั้ยล่ะ”
- “เคยได้ยินบ้างเหมือนกันค่ะ”
พอลล่าลดเสียงลง ลาสโลเพิ่งจะเคยได้ยินเรื่องนี้เป็นครั้งแรก พอเงี่ยหูเข้าไปใกล้ จูเอลก็อธิบายด้วยน้ำเสียงขยาดๆ ว่า
- “เป็นโจรสลัดที่ออกอาละวาดไปทั่วทั้งประเทศหมู่เกาะน่ะ ทั้งเลือดเย็น ป่าเถื่อน ไร้ความปราณี ได้ยินว่าเรือสินค้าที่บรรทุกของมีค่าน่ะ ถูกพวกมันเล่นงานอยู่บ่อยๆ เลยล่ะ”
- “แต่ถึงอย่างนั้น ไงๆ มันก็ไม่มีทางโผล่ออกมาในเขตน่านน้ำใกล้ๆ ที่พวกเราจะต้องไปลาดตระเวนหรอก เพราะที่โจรสลัดมันเล็ง ก็คือเรือสินค้าขนาดใหญ่ที่ทำการค้าอยู่ระหว่างกลุ่มประเทศหมู่เกาะน่ะนะ”
เคเนสกล่าวพร้อมกับหัวเราะ แล้วทัลที่กวาดอาหารในจานจนราบในรวดเดียวจึงเอ่ยแทรกขึ้นบ้าง
- “แล้วทางคูลูคล่ะ เป็นไงบ้าง? ได้ยินเขาลือกันนะว่าพักนี้พวกนั้นมีการเคลื่อนไหวที่ไม่ค่อยดีนักน่ะ”
- “หืม สำหรับทัลแล้ว เรียกว่ารู้เยอะเหมือนกันน้า”
ก่อนที่ทัลจะตอบโต้ที่ถกจูเอลล้อเลียน เคเนสก็พูดขึ้น
- “จำชื่อที่ออกมาตอนการชี้แนะของหัวหน้ากองได้รึเปล่า?”
- “แหงอยู่แล้ว ทรอย..... ใช่มั้ย?”
- “อื้อ คนที่ว่าจมเรือ 4 ลำของทัพเรือไกเอ็นด้วยเรือเพียงลำเดียวได้ตอนที่อายุพอๆ กับพวกเรา.....”
- “เรื่องจริงรึเปล่านะ หัวหน้ากองอาจจะพูดให้มันฟังเวอร์เพื่อกระตุ้นพวกเราก็ได้ไม่ใช่เหรอ”
- “ไม่หรอก ชั้นเคยได้ยินชื่อทรอยแห่งคูลูคมาบ้างเหมือนกัน ว่ากันว่าเป็นอัจฉริยะของแท้ ไม่มีการโอ้อวด แข็งแกร่งราวกับเทพอสูร แล้วก็ถูกเรียกว่าบุตรของเทพแห่งท้องทะเล....”
- “ต้องหน้าแบบนี้ชัวร์เลย บุตรของเทพแห่งทะเลนั่นน่ะ!”
จูเอลเอาสองมือกดที่แก้ม แล้วถลึงตาขึ้น จนพอลล่าหัวเราะออกมา
- “ไม่ใช่เรื่องน่าหัวเราะนะจูเอล เอาเถอะ ยังไงซะ เร็วๆ นี้ก็คงจะไม่มีการส่งให้พวกเราออกไปลุยหรอก แต่ซักวันหนึ่งก็เป็นไปได้ล่ะว่าเราอาจจะได้ลุยกับกองเรือที่ทรอยเป็นผู้บัญชาการซักตั้ง เราก็ต้องฝึกฝนให้หนัก เพื่อจะได้สามารถต้านทานบุตรของเทพแห่งทองทะเลได้ล่ะนะ”
- “ของมันแน่อยู่แล้ว! ฉันจะแบกรับอนาคตของกองอัศวินสมุทรไกเอ็นไว้เอง!”
ตอนที่จูเอลชูมือขึ้นสูงอย่างแข็งขันนั้นเอง
ทัศนียภาพรอบด้านก็พลันสว่างวาบขึ้น ฟ้าว...เสียงระเบิดเบาๆ คล้ายบางอย่างลอยพุ่งสูงขึ้น ดังตามติดมา พวกลาสโลจึงหันไปทางทะเลโดยพร้อมเพรียงกัน
- “ว้าว....”
จูเอลส่งเสียงขึ้นอย่างยินดี ดอกไม้ขนาดใหญ่ เบ่งบานอยู่บนท้องฟ้าที่มืดสนิท
ดอกไม้ไฟเพื่ออวยชัยให้กับการถือกำเนิดของอัศวินรุ่นใหม่นั่นเอง แดง เหลือง เขียว ส้ม ..... แสงสว่างสดใสค่อยๆ ฉาบไปบนผืนฟ้ายามค่ำคืน แก้มของพวกจูเอลที่แหงนมองขึ้น ก็ถูกฉาบด้วย สีสันของดอกไม้ไฟผสมกลมกลืนกันเช่นกัน
- “สวยจัง....”
พอลล่ากระซิบอย่างหลงใหล นัยน์ตาของทัลซึ่งอารมณ์อ่อนไหวก็ดูเหมือนจะเริ่มพร่าด้วยน้ำตา
- “ถึงจะได้ดูอยู่ทุกปีก็เถอะ แต่ไงๆ ดอกไม้ไฟปีนี้ก็พิเศษกว่าที่ผ่านมาเนอะ”
- “แน่นอนอยู่แล้ว ก็นี่เป็นดอกไม้ไฟเพื่อพวกเราโดยเฉพาะนี่นา”
- “พรุ่งนี้มาพยายามกันเถอะ ในฐานะสมาชิกของกองอัศวินคนหนึ่ง”
- “อื้อ!”
ในขณะที่โอบไหล่แหงนมองท้องฟ้ายามค่ำคืนกับเพื่อนๆ ลาสโลก็คิดในใจ
ถ้าสโนว์ได้มาอยู่ที่นี่ด้วย ก็คงจะดี
ถ้าได้ร้องรำทำเพลง ส่งเสียงโหวกเหวก และบอกเล่าความฝันในอนาคตร่วมกับเพื่อนๆ ที่ไม่มีอะไรต้องปิดบังกันอยู่ที่ลานกว้างนี้ ไม่ใช่ที่เก้าอี้ในงานเลี้ยงที่แสนจะน่าอึดอัดใจล่ะก็......