ศาสนา ความเชื่อ และศรัทธา

[DZ]

เห็นมีคนเชื่อต่างกันพอควรลองจุดประเด็นดราม่า(ขำๆ)
คิดตายว่าไปแล้ว คนเราจะเป้นแบบไหน

1. เกิดใหม่ไปเรื่อย ไม่มีวันดับสูญ(ภพนี้ ภพหน้า ต่างมิติ)
2. นิพพาน หรือ สาบสูญจากสารบบสมบูรแบบ (แนวพุทธ)
3. ไม่มีอะไรตายก็คือตาย จบ ........เกิดจากความว่างเปล่าก็กลับเป้นแบบนั้น การที่มนุษย์เรามีความคิดขึ้นมาได้ก็แค่ความบังเอิญล้วนๆ (คล้ายข้อ2แต่แบบว่าถึงทำบาปเยอะก็แบบนี้เหมือนกัน)
4. ขึ้นสวรรค์ไปเสวยสุข ไม่ก็ลงนรกไปใช้กรรม ตามหลักความเชื่อในหลายๆศาสนา
5. แนวเมทริกซ์ ลืมตาตื่นในอีกโลกหนึ่ง โลกที่เราอยู่มันก็เหมือนโปรแกรมไม่ก็เกมนั่นแหละ
6. อื่นๆ

[Mysh]

เวลาอ่านเว็ปดราม่า ดราม่าจากห้องศาสนามีแต่ของพุทธแฮะ หรือว่าห้องนี้เขาไม่มีคนศาสนาอื่นมาร่วมเล่นเหรอครับ?? หรือโดนเบียดบังศรัทธา จนต้องหนีไป (คำถามนี้จะแรงไปไหมหว่า แต่ผมรู้สึกยังงั้นจริงๆ เหมือนห้องศาสนามีแต่คนพุทธมาทะเลาะกัน )

ตอบคำถามติส

ผมเชื่อเรื่องชาตินี้ ชาติหน้านะ ไม่งั้นก็คงไม่มีการระลึกชาติ หรือการชดใช้กรรมชั่ว เสวยกรรมดีน่ะ

แต่ส่วนตัวแล้ว อยากให้คนเรา เกิดหนเดียว ตายหนเดียวจะดีกว่า ไม่เหนื่อยด้วย

[tsukasa]

^
เพราะศาสนาอื่นมันโดนกดเป็นพลเมืองชั้นสอง(รึชั้นอะไรที่แทบจะไม่มีสิทธิ์มีเสียงอะไรกะพุทธเท่าไร)ไง เห็นเวลามีอะไร พอมีศาสนาอื่นมาเกี่ยวข้องล่ะก็จะโดนหาว่ามาทำลายศาสนาพุทธมั่ง มีจุดประสงค์แอบแฝงมั่ง อะไรมั่ง

ส่วนของติส
ข้อ 5 XD~ มีคนเคยบอกว่าที่เราอยู่ทุกวันนี้จริงๆเป็นความฝันที่ตัวเรากำลังฝันอยู่นะ
จริงๆก็ชอบทั้งเกิดใหม่ไปเรื่อยๆ กับ ชีวิตหนึ่งชีวิตเดียวแหละ มันให้ความรู้สึกดีในคนละด้าน


เอาอันนี้สิ

We came from the planet. And someday we will return to the planet.

[Baran]

ผมคิดว่าข้อ 3 แฮะ... ทำไมมันดูขัดๆกับความเชื่อเรื่องบุญ-บาปที่พูดมาก่อนหน้าล่ะ???

ส่วนตัวคิดว่าผลของบุญและกรรมจะตอบกลับมาในช่วงชีวิตนี้ล่ะ คนที่ทำชั่วก็จะได้รับผลตอบแทนในสิ่งที่ตนทำ ไม่ว่าขโมยของแล้วติดคุกหรืออย่างน้อยที่สุดก็ต้องรู้สึกผิดบาปในใจ ผมคิดมาตลอดนะว่าคนที่ทำความเลวเกือบทุกคนไม่ได้ทำเพราะอยากทำแต่เพราะมีสถานการณ์บางอย่างที่ทำให้เป็นเช่นนั้น ดังนั้นหลังจากเหตุการณ์จบหลังจะต้องมีการตกตะกอนอยู่ในความรู้สึกไม่มากก็น้อย แล้วคนที่ไม่รู้สึกผิดเลยล่ะ? คนนั้นก็ได้รับบาปไปแล้วไง "สูญเสียความรู้สึกที่ควรจะมี" คนที่เสียองค์ประกอบสำคัญสำหรับการเป็นมนุษย์ไปแล้วผมว่าคนๆนั้นน่าสงสารกว่าซะอีก (ทำไมความคิดเห็นเรื่องบาปของตูมันดูเบาบางจังเลยเนี่ย???)

ส่วนผลตอบแทนของบุญที่สำคัญที่สุดคือ "ความรู้สึก" หลังจากเราทำบุญ(หรือทำดี)ไปแล้วหลายๆครั้งเราจะรู้สึกเลยว่าทำเสร็จแล้วมีความสุข นั้นคือผลตอบแทนของการทำดี ถ้าอย่างนั้นการทำดีและการทำเลวมันต่างกันยังไง ในเมื่อบางคนทำความเลวแล้วก็รู้สึกมีความสุขเหมือนกัน จุดต่างที่ผมคิดคือ ฟีดแบ็คที่ได้รับกลับมามันต่างกัน
คนทำดี - จิตใจมีความสุข - คนรอบข้างมองด้วยความชื่นชมหรืออย่างต่ำก็คือไม่มีใครมองในแง่ร้าย
คนทำเลว - จิตใจมีความสุข - คนรอบข้างมองด้วยสายตารังเกียจหรือได้ยินเสียงด่าแว่วๆมาให้รู้สึก

ดังนั้นสำหรับผม บุญ-บาป คือความรู้สึกที่ได้รับกลับมาหลังจากได้ทำบางสิ่งบางอย่างลงไป มันอาจจะไม่ดูเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหมือนที่เราเคยคิดๆกัน แต่สำหรับผมความรู้สึกที่ได้รับกลับมามันสำคัญพอแล้วล่ะ ส่วนการทำบุญเช่นช่วยเหลือคนแล้วได้รับผลตอบแทนใหญ่ๆเช่นเงินรางวัล ถือเป็นโบนัสก็แล้วกัน การไม่คาดหวังอะไรมากเกินตัวก็ทำให้เรามีความสุขพอแล้วล่ะ ทำเพื่อคนอื่นเห็นเขามีความสุข เราก็มีความสุข , ไม่ทำเลวกับคนอื่นเพื่อไม่ให้สักวันมีคนมาทำเช่นนั้นกับเรา

รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนมองเรื่อง บุญ-บาปในสเกลที่เล็กกว่าชาวบ้านเขาแฮะ

[Luca]

"เมืองไทยเมืองพุทธ" ใครมาเผยแพร่ศาสนาอื่นจะโดนมองด้วยสายตาอคติ แล้วก็อย่างที่ซือจังว่ามา ศาสนาอื่นเป็นแค่พลเมืองชั้นสองในห้องศาสนา เข้าไปก็เจอเตะออกมา ยิ่งเป็นศาสนาคริสต์ที่ไม่มีเหตุผลที่ชัดเจนมาชนนะ เจอชาวพุทธในห้องนั้นสวนเอาๆ เลยล่ะ

เห็นมีคนเชื่อต่างกันพอควรลองจุดประเด็นดราม่า(ขำๆ)
คิดตายว่าไปแล้ว คนเราจะเป้นแบบไหน

1. เกิดใหม่ไปเรื่อย ไม่มีวันดับสูญ(ภพนี้ ภพหน้า ต่างมิติ)
2. นิพพาน หรือ สาบสูญจากสารบบสมบูรแบบ (แนวพุทธ)
3. ไม่มีอะไรตายก็คือตาย จบ ........เกิดจากความว่างเปล่าก็กลับเป้นแบบนั้น การที่มนุษย์เรามีความคิดขึ้นมาได้ก็แค่ความบังเอิญล้วนๆ (คล้ายข้อ2แต่แบบว่าถึงทำบาปเยอะก็แบบนี้เหมือนกัน)
4. ขึ้นสวรรค์ไปเสวยสุข ไม่ก็ลงนรกไปใช้กรรม ตามหลักความเชื่อในหลายๆศาสนา
5. แนวเมทริกซ์ ลืมตาตื่นในอีกโลกหนึ่ง โลกที่เราอยู่มันก็เหมือนโปรแกรมไม่ก็เกมนั่นแหละ
6. อื่นๆ

ตอบ 6 ครับ

ในเมื่อผมเชื่อว่าไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์คืออันหนึ่งอันเดียวกัน ผมก็ต้องเชื่อเรื่องวิญญาณและเรื่องลี้ลับด้วย
เมื่อเราตายพลังงานที่เรียกว่าวิญญาณจะออกจากกายเนื้อ ล่องลอย หรือไปสถิตย์ที่ไหนก็แล้วแต่ตัวแปรต่างๆ จะกำหนด เมื่อพลังงานไม่มีวันหายไปจากโลกนี้ สักวันมันก็จะแปรสภาพไปเกิดใหม่เอง ส่วนที่บอกว่าลงนรกอาจจะเป็นกรณีที่จิตหลุดเข้าไปในมิติที่ไม่พึงประสงค์

หลักการคิดนี้คือการเลือกที่จะเชื่อในทุกๆ อย่างที่พบเห็นและได้ยิน (เชื่อด้วยความต้องการที่จะเชื่อ แต่ไม่ได้เชื่อด้วยใจจริงแบบที่คริสต์เชื่อในพระเยซู) ไม่ว่าจะเป็นคนระลึกชาติ ผีหลอกคน คนเกิดใหม่ พระเข้าฌาณ กาลอวกาศที่ซ้อนทับ ควอนตัม มิติที่ห้า โลกขนาน ไทม์แมชชีน สไปรัลพาวเวอร์ ฯลฯ
วันไหนเรื่องเหล่านี้มันมาเกิดกับตัวเอง หลักการของผมก็จะไม่พังทลายอย่างแน่นอน เพราะผมใส่เหตุผลให้พวกมันไปหมดแล้ว

[Shiryu]

คนเราเมื่อตายแล้วจะกลับคืนสู่ดวงดาวครับ

[DZ]

คนเราเมื่อตายแล้วจะกลับคืนสู่ดวงดาวครับ

หมายถึงดวงดาวแห่งเซนท์88 หรือ สเปคเตอ108ดีครับ

[SuikoAsLife]

คิดว่าไม่ต่างกับการตายของ ช้าง ม้า วัว ควาย หรือจุลินทรีย์ ...ก็แค่เสื่อมสลาย กลายเป็นธาตุอื่นๆ วนเวียนอยู่ในโลกใบนี้
...
ที่สงสัยคือ เวลาสัตว์พวกนั้นตายไม่รู้ว่าจะต้องไปชดใช้บุญบาปเหมือนมนุษย์ด้วยรึเปล่าน่ะสิ....

[Luca]

คนเราเมื่อตายแล้วจะกลับคืนสู่ดวงดาวครับ

หมายถึงดวงดาวแห่งเซนท์88 หรือ สเปคเตอ108ดีครับ

ผมขอเป็นเจมินี่ ซาก้า

[FLOW]

ตายแล้วกลับชาติมาเกิดใหม่นี่สัตว์เสียเปรียบแย่เลยเนอะ ไม่มีโอกาสได้ทำบุญเลยซักกะติ๊ด แล้วจะมีแหวนไก่ย่างกับไอติมเอิธเควกใส่ได้ยังไงกัน

[Shiryu]

คนเราเมื่อตายแล้วจะกลับคืนสู่ดวงดาวครับ

หมายถึงดวงดาวแห่งเซนท์88 หรือ สเปคเตอ108ดีครับ

กลายเป็นไลฟ์สตรีมหล่อเลี้ยงดวงดาวครับ



ทั้งมนุษย์ สัตว์ รวมทั้งสิ่งมีชีวิตทุกชนิดเกิดจากพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ภายในดวงดาว เมื่อตายลงร่างกายจะดับสลาย พลังงานชีวิตจะกลับไปรวมกับไลฟ์สตรีมในดวงดาวอีกครั้ง
ความทรงจำเก่าจะถูกลบ และดวงดาวจะเป็นผู้คัดสรรสิ่งมีชีวิตใหม่ที่จะถือกำนิดขึ้นมาอีก
เมื่อเกิดเป็นชีวิตใหม่พลังส่วนหนึ่งของดวงดาวก็จะถูกแบ่งออกมา
มนุษย์ที่ยังมีห่วงจะไม่สามารถกลับคืนสู่ดวงดาวได้ ต้องวนเวียนอยู่ในดวงดาว
จิตวิญญาณที่ลงมาด้านล่างหากถูกบ่วงแห่งความเคียดแค้นหรือโศกเศร้าครอบอยู่จะเป็นกำแพงไม่ให้หลอมรวมไปกับไลฟ์สตรีมได้ ต้องปลดเปลื้องความทุกข์ทรมานก่อนจึงจะได้กลับไปรวมกับคนอื่นๆ
ส่วนการระลึกชาติเป็นแค่การรับเอาความทรงจำที่ยังเป็นกลุ่มก้อนอยู่เข้าไป ดวงวิญญาณไม่มีความเป็นตัวตนอย่างแท้จริง ไม่ว่าชาตินี้เป็นใคร พอตายแล้วก็จะกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของดวงดาว และชาติหน้าก็จะไม่มีเพียงแต่ดวงดาวจะกำเนิดชีวิตใหม่ออกมาเรื่อยๆ ทำให้ไม่มีสมการกรรมที่ทำยังไงก็ไม่สมดุล ไม่ยุติธรรม หาที่เริ่มไม่ได้ หาที่จบไม่ได้ แล้วก็อ้างว่ามันเป็นอจิณไตย
หากจำนวนชีวิตเพิ่มมากขึ้นดวงดาวจะอ่อนแอลง ฟุฮิโตะจึงคิดจะใช้เซอโคเนียเด้เผาทำลายชีวิตทั้งหมดเพื่อคืนพลังให้ดวงดาว
เมื่อดวงดาวเกิดวิกฤตการณ์เกินเยียวยา โอเมก้าเวพ่อนจะทำลายชีวิตทั้งหมดและหอบพลังชีวิตทั้งหมดไปอยู่ดาวอื่น เหมือนกับยุคสิ้นโลกตามศาสนาทั้งหลาย

คอนเซปต์นี้แจ่มมะ

/me กระเด็นออกจากกระทู้ศาสนา


เอาจริงๆเรื่องกรรมดีกรรมชั่วผมคิดคล้ายบารันแหละ ทำดีใจเรามีความสุข คนรอบข้างมีความสุข ถ้ามีแต่คนที่ปรารถนาให้คนอื่นมีความสุข โลกในอุดมคติก็จะตามมาเอง สั้นๆง่ายๆ แฮ่
ผมว่าแค่นี้ก็พอจริงๆนะสำหรับความสุขทางโลกปกติ "อยากมีความสุขเหรอ? ก็รักคนอื่นสิ" คิดคล้ายคริสต์อีกละ - -a
เรื่องภพหน้าหรือการชดใช้กรรมเหมือนเป็นการข่มขู่ไม่ให้คนเราทำชั่วมากกว่า ถ้าคิดตามจริงๆมันมีข้อขัดแย้งอีกเยอะแยะตามที่รู้กัน (อจินไตยตัยตัย บระ! เราโง่วฮับ แก้ paradox พวกนี้ไม่ออก)

[SuikoAsLife]

อยากรู้ว่า การแข่งกันสะสมบุญเพื่อให้ได้แหวนไก่ย่างกับไอติมเอิร์ทเควกนี่ไม่ขัดกับหลังของพระพุทธเจ้าที่ให้ ละทิ้งซึ่งความยากได้อยากมี สู่ความว่างเปล่า เหรอครับ

ป.ล.คิดไปคิดมานี่มันเหมือนการสะสมไอเท็มในเกมออนไลน์นะเนี่ย

[Mysh]

อยากรู้ว่า การแข่งกันสะสมบุญเพื่อให้ได้แหวนไก่ย่างกับไอติมเอิร์ทเควกนี่ไม่ขัดกับหลังของพระพุทธเจ้าที่ให้ ละทิ้งซึ่งความยากได้อยากมี สู่ความว่างเปล่า เหรอครับ

ป.ล.คิดไปคิดมานี่มันเหมือนการสะสมไอเท็มในเกมออนไลน์นะเนี่ย

ความจริงนอกจากความอยากได้อยากมีแล้ว พระพุทธเจ้าท่านยังสอนเรื่องความไม่อยากได้ อีกนะครับ

คือ ความอยากได้ก็เป็นกิเลสอย่างหนึ่ง และความไม่อยากได้ ก็เป็นกิเลสอีกอย่างหนึ่ง ต้องตัดทั้งสองสิ่งนี้ออกจากใจ

ซึ่งการทำบุญโดยมีเครื่องล่ออย่างแหวนไก่ย่างหรือไอติมเอิร์ธเควก สร้อยส้มตำปู มันก็กลายเป็นทำให้คนมีความอยากเพิ่มอะครับ ไม่ค่อยตรงกับคำสอนพระพุทธเจ้าท่านเท่าไหร่นะ

ผมเพิ่งคิดได้ว่า ไม่แน่ว่าไอ้คนพวกนี้ มุ่งที่จะไปเกิดในชั้นพรหม มากกว่าจะสำเร็จอรหันต์แล้วนิพพานแน่เลย

เพราะอย่างทางมหายาน ตามตำนาน เจ้าแม่กวนอิมท่านก็ยังไม่สำเร็จอรหันต์ เพราะท่านห่วงมนุษย์โลก เลยเป็นเพียงพระโพธิสัตว์อยู่อย่างนี้อะครับ ถ้าตัดห่วงนี้ไม่ได้ ก็สำเร็จไม่ได้อะ

ซึ่งก็มีพุทธนิกายอื่นอีกครับ ที่ไม่ไ่ด้มุ่งสอนให้คนสำเร็จอรหันต์แล้วนิพพาน แต่มุ่งไปที่การสร้างบุญ แล้วทำตัวเองเป็นโพธิสัตว์ในร่างมนุษย์ คอยช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันเอง

พูดไปพูดมา เหมือนสนับสนุนจานบินยังไงไม่รู้แฮะ

[Genii]

ในส่วนตัวผม เวลาคนอื่นถาม หรือคุย ผมก็จะบอกว่าผมเป็นพุทธนะ แถม ไม่ยอมเปลี่ยนศาสนาด้วย

แถมอีกอย่าง ขนาดที่ว่า ถ้าหากว่าจะมีเมีย ย้ำถ้าหากจะมี เธอคนนั้น ต้องนับถือพุทธด้วย ซะงั้น

แต่เอาเข้าจริง ผมไม่นับถือพิธีกรรมทั้งหมดทั้งสิ้นน่ะแหละ ไม่ว่าศาสนาไหน อย่างเช่น เข้าโบสถ์ไปสวดมนต์ขอพรพระเจ้า หรือ จะเข้าวัดไปไหว้พระตามวัน หรืออะไรต่อมิอะไรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

ผมหวังในปริศนาธรรมที่แฝงอยู่มากกว่า อย่างเช่นของพุทธ การสวดมนต์ สวดไปทำไม สวดไม่เข้าใจคำแปล ไม่เข้าใจความหมาย??? แต่อย่างนึงที่ผมได้ ผมได้สมาธิครับเวลาสวด (ถึงผมจะขี้เกียจสวดก็เถอะ) บางที เราจดจ่อกับอะไรที่มันพอมีเสียง หรือ มีรูป มันทำให้เราจดจ่อได้ง่ายกว่าหลับตาจดจ่อกับลมหายใจน่ะนะ แต่พอสวดมนต์แล้ว ใจสงบลงบ้างแล้วค่อยไปในระดับสูงกว่าเช่น นั่งอานาปานสติ หรือ จะเดินจงกรม จะอะไรก็ว่ากันไป ตอนนั้นผมรู้สึกแค่ มันสงบ อ่ะ แค่นี้จริงๆ สำหรับผมนะ ขอแค่ ความสงบ กับ ความสบายๆ ชิลๆ ไม่ต้องพะวงโน่นนี่นั่น ไม่ต้องมัวแต่พะวงว่า ถ้าเราไม่ถวายส้มตำ เราจะอดสถิตย์อยู่ในวรรค์ชั้นนั้นชั้นนี่ หรือ ถ้าเราไม่ไถ่บาป บาปก็จะกัดกินเรา พระเจ้าไม่ยกโทษให้ ผมไม่แคร์ละ

ส่วนเรื่องบาป ที่จริงหลักของพุทธศาสนาน่ะ มีอยู่นะครับ เรื่องการไถ่บาปน่ะ เป็นหนึ่งในทานทั้งสามแบบ เรียกว่า อภัยทาน การสารภาพบาปกับพระเจ้าก็คงคล้ายๆกันครับ คือ ทำให้เรารู้สึกสบายใจขึ้น เหมือนกับว่า เราสารภาพไปแล้ว แต่สุดท้ายเรื่องที่ผิดพลาด อยู่ที่เรานี่แหละ จะให้อภัยตัวเองได้หรือเปล่า แล้วมันก็จะย้อนกลับไปถึงเรื่องการให้อภัย ว่าแบบไหนควรให้อภัย จะให้อภัยใครต้องให้แก่คนที่สำนึกแล้ว แน่นอน ถ้าเราสำนึกแล้วเราก็ให้อภัยตัวเราได้เหมือนกัน โดยไม่ต้องขออภัยจากพระเจ้า สุดท้ายพระเจ้าก็ไม่ใช่ใครอื่น มันตัวคุณเองนั่นแหละ เพียงแต่ คนเรายังยึดติดนี่แหละ ส่วนมากไม่ตีความและไม่ให้อภัยตัวเอง อย่างผม มีเรื่องที่ให้อภัยตัวเองไม่ได้ แล้วมันก็เกาะกินเป็นเรื่องที่ทำให้ผมอมทุกข์อยู่จนถึงบัดนี้ ในทางพุทธ บุญคือสิ่งที่ทำแล้ว ใจเราเกิดกุศล เกิดความสบายขึ้น ความโล่งโปร่ง มีชีวิตชีวาในใจ ส่วนบาป คือสิ่งที่ทำแล้วทำให้เกิดความไม่สบายใจ ทุกข์ใจ หวาดกลัว หวาดระแวง ซึมเศร้า เป็นเหตุให้เกิดเภทภัยแก่ตนเอง ก่อให้เกิดความมัวหมอง ขึ้นในใจ ไม่ใช่บุญที่ลัทธิจานบิน หรือ วัดต่างๆเขากล่าวอ้างกันหรอก การให้ทานก็ดี การสวดมนต์ไหว้พระก็ดี การนั่งสมาธิก็ดี ผมไม่ได้หวังจะให้ชาติหน้าดีขึ้น ไม่หวังจะตายแล้วขึ้นสวรรค์ แต่ผมหวังแค่ ทำแล้ว ผมสบายใจ สบายใจในบัดนั้น สบายใจในขณะทำ หลังจากทำ แค่นั้นเอง

ถ้ามาดูจากที่ผมนับถือแล้วนะ...ผมว่า ตอนนี้ผมก็ใกล้จะไร้ศาสนาขึ้นทุกที เพราะ ศาสนาพุทธที่ผมศรัทธา ก็ค่อยๆเดินห่างจากแก่นธรรม แก่นที่ไร้การเจือปนจากอภินิหาร จากสวรรค์ นรก จาก พิธีกรรม จากการเบี่ยงเบนคำสอน ทุกอย่างเริ่มห่างไกลจากแก่นที่ผมพยายามที่จะค้นหาและเดินตาม ถ้าผมเดินตามแก่นไปเรื่อยๆ ผมจะพบว่า ตัวเองไม่ได้นับถือพุทธศาสนาในแบบปัจจุบันแหงๆ พุทธกว่าจะมาเป็นพุทธแบบทุกวันนี้ ผ่านการสังคายนามากี่ครั้ง แต่ละครั้งทุกอย่างก็ถูกเปลี่ยนไป

ผมขอแนะนำให้หาหนังสือที่ โฮโช เขียนเกี่ยวกับศาสนาทุกศาสนามาอ่านครับ

ไงๆก็หยุดเบียดเบียนตัวเอง หยุดเบียดเบียนคนอื่น เดี๋ยวโลกใบนี้ก็ไม่มีศาสนาเองแหละ

[Siegfried]

ผมเคยดูหนังผี...

หนังผีไทย ผีหลอกพระ หลอกเณร อาละวาดกลางวัด...

หนังสยองขวัญฝรั่ง พวกซาตาน/สัตว์ประหลาดวูดู เข้าไปในโบสถ์ไปฆ่านักบวชได้ พอเห็นกางเขนจะชะงัก/ช้าลง/โดนแช่แข็งชั่วขณะ ไป แต่สักพักก็จะเกิดอาการ กางเขน mana หมด บาทหลวงโดนฆ่าเหมือนกัน ถ้าเป็นหนังแนววิทยาศาสตร์หน่อย พวกที่น่าจะแพ้ธาตุโฮลี่ บางตัวแม่มไม่สนใจกางเขนด้วยซ้ำ (เช่นผีชีวะ เคมี ฟิสิกส์)

ต้องหันไปนับถือ พระเจ้า Haruhi ไม่ก็ โอดิน แล้วสินะครับ /me โดนกระทืบ

ส่วนตัว คล้ายๆคุณซาซาไรครับ สนใจทุกศาสนา แต่เลือกเชื่อเป็นส่วนๆไป คิดว่าเรื่องศาสนามันเป็นเรื่องของการเอามาคิด/ตีความ แล้วเอาไปใช้เองมากกว่าไปฟังคนอื่นสอน เพราะต่างคนก็ต่างตีความ

เรื่องผีนี่ ผมก็ไม่แน่ใจนะ มันเป็นความเชื่อ

แต่ส่วนตัวผมเชื่อว่ามันขึ้นอยู่กะความแข็งแกร่งของจิตใจตัวคนใช้ไอเทมศักดิ์สิทธิ์ด้วยมากกว่า จิตอ่อนแอก็ตกเป็นเหยื่อง่าย


เรื่องศาสนาคริสต์... รู้สึกว่าที่นับถือพระเยซูเป็นพระเจ้าแต่องค์เดียว ไม่ยอมรับเรื่องภาคพันธะสัญญาเก่าเลย จะเป็นออธอร์ด็อกซ์ครับ ส่วนตัวผม(อีกแล้ว)คิดว่าของคาธอลิคน่าเชื่อถือกว่าเยอะเลย

ลัทธิเดียวกับที่ยึดแนวคิดเผาแม่มดของศาสนาคริสต์ทุกวันนี้ยังเหลืออยู่แบบถูกกฎหมายเลยครับ :3 (ปัจจุบันก็คงไม่มีเผากันจริงๆแล้วละนะ แต่ในที่ลับใครจะรู้)

บางศาสนาที่น่านับถือกว่าศาสนาอื่นเพราะประวัติโบราณยาวนานแต่มีสงครามน้อยสุด จริงๆก็ไม่ได้เป็นเพราะตัวศาสนาเอง แต่เป็นเพราะภาคการเมืองมีการถ่วงดุลอำนาจดี ให้อำนาจกษัตริย์เยอะ ให้อำนาจทางองค์กรศาสนาน้อย (ไม่ได้ระบุศาสนานะ=3=~)

ของแบบนี้มันต้องแยกแยะกันเยอะหน่อย