
เลิฟเลส คือละครยอดนิยมที่แสดงในโรงละครมิดการ์อย่างต่อเนื่องมาหลายปี
ถนนของมิดการ์เขต 8 ที่ตัดผ่านโรงละครถูกตั้งชื่อว่า
"ถนนเลิฟเลส"
ถือเป็นโซนที่คึกคักที่สุดในเขต 8 นี้ เราจะเห็นชื่อ LOVELESS
กันมาตั้งแต่ป้ายในเขต 8, คำบอกเล่าของซิดบนไฮวินด์,
โปสเตอร์ใน Advent Children
และป้ายโฆษณาในทุกๆภาค จนกระทั่งใน Crisis Core
ได้มีการลงลึกถึงรายละเอียดของเลิฟเลสเป็นครั้งแรก
ละครดังกล่าวถูกดัดแปลงจากผลงานประพันธ์โบราณเรื่องเลิฟเลส ซึ่งเจเนซิสชื่นชอบมากเพราะเขาคิดว่ามันช่วยไขปริศนาหลายๆอย่างให้แก่โลกใบนี้
เหล่าแฟนคลับเจเนซิสส่วนหนึ่งก็สนใจศึกษาเรื่องราวและตีความเลิฟเลสเป็นเรื่องเป็นราว
พวกเขาเบื่อแฟนคลับเจเนซิสส่วนใหญ่ที่สนใจแต่เรื่องผิวเผิน
จึงถอนตัวมาตั้งคลับแยก เรียกว่า "คณะศึกษา"
เพื่อศึกษาเลิฟเลสให้ถึงแก่น
เนื้อหาของเลิฟเลส
ใต้ดินของบาโนร่ามีแผ่นหินสลักบทสรุปเนื้อหาของเลิฟเลสไว้ดังนี้
LOVELESS - PROLOGUE
เมื่อสงครามแห่งเหล่าอสูรนำพาโลกไปยังยุคสิ้นกาล
เทพธิดาจักจุติจากฟากฟ้า
ปีกแห่งแสงและความมืดมิดแผ่ขยาย นำทางผองเราสู่ความสุข
....อันเป็นของขวัญนิรันดร
LOVELESS - ACT I
ความลึกลับไร้จุดสิ้นสุด
ของขวัญแห่งเทพธิดาคือสิ่งซึ่งชายทั้งสามเฝ้าตามหา
แต่ชะตากรรมพวกเขาแตกกระจายด้วยสงคราม
คนหนึ่งเป็นวีรบุรุษ
คนหนึ่งออกเดินทาง
และคนหนึ่งถูกจองจำ
แต่ทั้งสามยังคงผูกพันกันด้วยคำมั่น
ว่าจะร่วมกันหาคำตอบนี้อีกครั้ง
LOVELESS - ACT II
แม้นักโทษจะหนีไปได้แต่เขาก็บาดเจ็บสาหัส
สตรีผู้ต่อต้านประเทศชาติได้ช่วยเหลือเขาไว้
เขาปลีกวิเวกออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่กับเธอ
ทุกสิ่งกำลังจะลงเอยด้วยดี
แต่ยิ่งมีความสุข
รอยแผลแห่งสำนึกบาปก็ยิ่งทำให้เขาเจ็บปวด
บาปที่เขาไม่อาจทำตามสัญญาที่ให้ไว้กับเพื่อนของเขาได้
LOVELESS - ACT III
สงครามนำพาโลกไปสู่ความพินาศย่อยยับ
นักโทษได้ออกเดินทางไปพร้อมความรักเต็มดวงใจ
ออกไปสู่การเดินทางครั้งใหม่
เขามุ่งหน้าไปโดยหวังว่าของขวัญนั้นจะนำมาซึ่งความรุ่งโรจน์
และเพื่อลุต่อคำสัญญาที่ได้ให้แก่เพื่อนไว้
แม้มิได้เอ่ยสาบานต่อนางผู้เป็นที่รัก
แต่หัวใจของเขาก็เชื่อมั่นว่าจะได้กลับมาพบกันอีกครา
ได้มีการตีความของขวัญแห่งเทพธิดากันไปหลากหลาย
ทฤษฎีที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดบอกว่ามันคือบาโนร่าไวท์ (แอปเปิ้ลของบาโนร่า)
ที่เจเนซิสถืออยู่ตลอดเวลา แต่อีกทฤษฎีหนึ่งตีความว่ามันคือดวงดาว
ของขวัญแห่งเทพธิดาอาจทำลายทุกสิ่งหรือเยียวยาทุกอย่างก็ได้ ซึ่งเจเนซิสเชื่อในอย่างหลัง
ตัวเจเนซิสเองมักท่องเลิฟเลสให้คนอื่นฟังจนแม้แต่เซฟิรอธยังจำได้ขึ้นใจ
หลังเกิดอาการเสื่อมสลายและรู้ว่าฮอลันเดอร์ไม่สามารถช่วยอะไรเขาได้
เขาก็ยึดเอาเลิฟเลสเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ เจเนซิสเชื่อว่าของขวัญแห่งเทพธิดาคือสิ่งที่จะช่วยหยุดยั้งอาการเสื่อมสลายของเขา
และเชื่อว่าตัวเองคือคนที่รับบทวีรบุรุษ
บทประพันธ์
ด้านล่างคือเนื้อหาบางส่วนของเลิฟเลสเท่าที่ถูกเอ่ยถึงและเลขตอนของ
Crisis Core ที่เจเนซิสท่องเลิฟเลสองก์นั้นๆ

PROLOGUE
(chapter8/chapter9/chapter10)
เมื่อสงครามแห่งเหล่าอสูรนำพาโลกไปยังยุคสิ้นกาล
เทพธิดาจักจุติจากฟากฟ้า
ปีกแห่งแสงและความมืดมิดแผ่ขยาย นำทางผองเราสู่ความสุข
....อันเป็นของขวัญนิรันดร
ACT I
(chapter2/chapter3)
สมบัติแห่งเทพธิดานั้นลึกล้ำสุดหยั่งถึง เราได้ออกตามหามันจนสุดหล้า
ไขว่คว้าแม้พลิกผืนน้ำ วิญญาณร่อนเร่มิอาจได้ผ่อนพัก
ACT II
เทพธิดาประทานภราดรภาพอันไร้ซึ่งความชิงชังแก่ท่านผู้เป็นที่รัก
ท่านผู้เป็นวีรบุรุษแห่งอรุณรุ่ง,
ท่านผู้เยียวยาผืนพิภพ
(chapter5)
ฝันแห่งวันพรุ่งนิมิตถึงดวงวิญญาณอันแตกสลาย
เกียรติศักดิ์ทั้งปวงล้วนมลายสิ้น
ปีกนั้นหลุดร่วงไป วาระสุดท้ายย่างกรายเข้าหา
ACT III
เพื่อนเอ๋ย หรือเจ้านั้นได้โบยบินจากไป?
ไปยังโลกที่ชิงชังสองเราเช่นนั้นหรือ?
(chapter2)
สิ่งที่รอคอยเจ้าอยู่เบื้องหน้านั้นมีเพียงรุ่งอรุณที่มืดหม่น
ไม่ว่าสายลมจักพัดไปแห่งใด
(chapter10)
วิญญาณแห่งข้ามัวหมองด้วยสำนึกแค้น
ข้าแบกรับความทุกข์แสนสาหัสออกตามหาจุดสิ้นสุดแห่งวาระพเนจรเพื่อหนทางหลุดพ้น
และเพื่อให้เจ้าได้หลับใหลไปชั่วนิรันดร์
ซึ่งบทนำและสามองก์แรกนั้นมีเนื้อหาตามที่แท่นหินในบาโนร่าสรุปไว้
สำหรับบทที่สี่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการต่อสู้ของอดีตเพื่อนรัก
"วีรบุรุษ"
และ "ผู้ถูกจองจำ"
ต่อหน้า "เทพธิดา"
ซึ่งวีรบุรุษจะได้รับ "ของขวัญแห่งเทพธิดา"
หลังการต่อสู้
ACT IV
เพื่อนเอ๋ย ชะตากรรมนั้นสามานย์
ไม่มีความฝัน ไม่มีเกียรติภูมิใดหลงเหลืออยู่
ศรนั้นถูกแผลงออกจากคันศรแห่งเทพธิดาแล้ว
(chapter6/chapter9)
ตำนานจักกล่าวขานถึงการเสียสละ ณ จุดสิ้นโลก
สายลมกระพือผ่านผิวน้ำ ช่างแผ่วเบาแต่มั่นคง

ฉากเลิฟเลสที่เจเนซิสเซ็ตไว้
เจเนซิสเชื่อว่าตัวเขาคือวีรบุรุษ แซ็คคือผู้ถูกจองจำ
รูปปั้นเทพธิดาใต้ดินบาโนร่าคือเทพธิดา และมาทีเรียแดงขนาดยักษ์คือของขวัญแห่งเทพธิดา
เขาเชื่อว่าการต่อสู้กับแซ็คจะเป็นการสร้างเนื้อเรื่องให้เหมือนกับเลิฟเลสอีกครั้งเพื่อที่ตัวเขาจะได้รับของขวัญแห่งเทพธิดาตามบท
แต่หลังพ่ายแพ้ให้แก่แซ็ค เจเนซิสก็ยอมรับบทของผู้ถูกจองจำและได้รับ
"ของขวัญแห่งเทพธิดา"
ซึ่งก็คือเกียรติภูมิของโซลเยอร์ที่เขาได้รับคืนมา
เขาไม่จำเป็นต้องหวาดกลัวต่อการเสื่อมสลายอีกต่อไป
สำหรับองก์สุดท้ายนั้นเหลือเพียงท่อนเดียว
ตอนจบได้หายสาบสูญไปและมีผู้ตีความไปต่างๆนานา
ACT V
(chapter3/chapter5/chapter10)
แม้เป็นรุ่งอรุณที่ไร้ซึ่งคำสัญญา
ข้าก็จะโบยบินกลับไปยังผืนแผ่นดินที่เจ้ายืนหยัดรอคอย
ในตอนจบ
Crisis
Core
เจเนซิสได้จารึกตอนสุดท้ายลงไปจากการตีความของเขาผู้ได้รับการมอบหมายหน้าที่จากเจตจำนงของดวงดาวเอง
ดังนี้

กลับมาดั่งหยาดน้ำค้างอันมอบความชื่นฉ่ำแก่ผืนดิน
กลับมาค้ำจุนผืนทราย,
ผืนน้ำ,
และผืนฟ้า
ขอท่านจงรับบรรณาการที่ข้าน้อมใจสละเหล่านี้
นั่นคือเจเนซิสยอมรับบทของนักโทษผู้ถูกจองจำ
และพร้อมจะกลับมาเพื่อปกป้องทุกสิ่งแทนเพื่อนอีกสองคนที่จากไป
ตัวบทประพันธ์ได้เน้นไปที่เรื่องราวของสามสหาย
ในขณะที่ส่วนที่เป็นละครใน
FFVII
นั้น เน้นไปที่ความรักของผู้ถูกจองจำกับคนรัก
(พระเอกกับนางเอกของละคร) ที่ต้องเดินทางจากกันไปในองก์ที่
II
และ
III
ตามที่ซิดเคยเล่าตอนจบให้คลาวด์ฟังบนไฮวินด์
"คุณต้องไปจริงๆเหรอ?"
"ผมตัดสินใจแล้ว
ผู้คนที่ผมรักกำลังคอยผมอยู่"
"...ฉันไม่เข้าใจ
ไม่เข้าใจเลยสักนิด แต่ก็ขอให้ปลอดภัยนะ"
"แน่นอน
ผมจะกลับมาหาคุณ
แม้คุณไม่ได้สัญญาว่าจะรอแต่ผมก็จะกลับมาเพราะรู้ว่าคุณจะอยู่ที่นี่"
(ส่วนตอนอื่นซิดหลับ ไม่ได้ดู)
ซึ่งคันเซลเคยส่งเมล์มาหาแซ็คเล่าว่าเขาชอบตอนนี้มาก
และหากสังเกตดีๆ ขณะใช้
DMW Apocalypse
ของเจเนซิสนั้นจะมีบทประพันธ์ของเลิฟเลสในองก์ที่ V
ขึ้นมาบนข่ายอาคมด้วย

สำหรับชื่อ
LOVELESS
นั้นแรกเริ่มเดิมทีมันมาจากชื่ออัลบั้มปี 1991 ของ
My Bloody Valentine
วงไอริชชื่อดัง ตามที่เขียนไว้ในป้ายที่มิดการ์เขต 8
นั่นละ

<กลับไปหน้าหลัก>