On the Way to a Smile : Case of Denzel

caseofdenzel-cover

Written by Kazushige Nojima

Published in FFVII:AC Prologue Book

Translated (Jap>Eng) by LH Yeung, Vilaeth

Translated (Eng>Thai) by Shiryu

On the Way to a Smile เป็นนิยายเกริ่นนำเรื่อง FFVII : Advent Children ที่ประพันธ์โดยคุณโนจิม่าหนึ่งในผู้เขียนบท Final Fantasy VII และเป็นผู้เขียนบท Final Fantasy VII : Advent Children ลงในหนังสือ FFVII AC Prologue (แถมมากับ limited pack หรือแยกขายต่างหาก) เพื่อความสมบูรณ์ในการดู AC มากที่สุด ในส่วนของ Case of Denzel นี้เป็นเรื่องราวของหนุ่มน้อยเดนเซลก่อนที่จะมาอยู่กับครอบครัวของคลาวด์และทีฟา เริ่มเรื่องจะเป็นเหตุการณ์หลังจากจบ Advent Children ไปแล้วสองปี เดนเซลต้องการเข้าเป็นสมาชิก WRO (องค์กร ฟื้นฟูโลกของรีฟ) เขาต้องเล่าภูมิหลังของตนเองให้รีฟฟังเพื่อพิจารณาเข้าเป็นสมาชิก แล้วเรื่องราวชีวิตที่ผ่านมาของเด็กชายวัย10ปีคนนี้จะค่อยๆถูกเล่าออกมาตาม ลำดับเหตุการณ์ตั้งแต่ตอนเขาอยู่กับครอบครัวที่แสนมีความสุขบนเพลทชั้นบนของ มิดการ์ ผ่านเหตุการณ์มากมายที่พลิกผันชีวิตเขาหลายต่อหลายอย่าง มีคนเข้ามาในชีวิตและมีคนเดินจากไปมากมาย ส่วนหนึ่งของพวกเชาเหล่านั้นช่วยให้เดนเซลผ่านชีวิตอันโหดร้ายจนมานั่งตรง หน้ารีฟเพื่อเล่าเรื่องราวอันน่าทึ่งนี้ได้ และเราจะเข้าใจว่ารอยยิ้มที่เดนเซลไปถึงในที่สุดนั้นมีคุณค่าขนาดไหน สำหรับภาพประกอบใช้ภาพจากอนิเมชั่น On the Way to a Smile : Denzel's Episode ซึ่งจำหน่ายพร้อมกับ Advent Children Complete ในปี 2009 นิยายเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผู้ดูหรือกำลังจะดู AC ไม่ควรพลาดเด็ดขาดครับ

อ่านฉบับแปลภาษาอังกฤษที่ใช้เป็นต้นแบบได้ที่ http://xthost.info/ffwebnovel/   และ  http://www.adventchildren.net

 

On the Way to a Smile

บนเส้นทางสู่รอยยิ้ม

เรื่องราวของเดนเซล

 

Episode 1-1
 
 
เมืองมิดการ์ถูกแบ่งเป็นสองส่วนที่แตกต่างกันราวกับคนละโลก ชั้นบนเรียกกันว่าเพลท เป็นนครโลหะที่มีเสาค้ำอยู่ด้านล่าง อีกส่วนที่อยู่ด้านล่างถูกเพลทบังจนไม่มีวันเห็นเดือนเห็นตะวัน ในสลัมนี้เต็มไปด้วยชีวิตผู้คนมากมาย และเป็นสถานที่ๆวุ่นวาย ทั้งเมืองถูกควบคุมโดยบริษัทชินระ ผู้คนต่างคิดว่าภาพของเมืองชั้นบนที่อลังการกับเมืองชั้นล่างอันมืดมนคงจะ ถูกแบ่งแยกอยู่เช่นนี้ตลอดกาล

เมื่อ 4 ปีก่อนตอนไลฟ์สตรีมระเบิดขึ้น ผู้คนต่างเชื่อกันว่ามิดการ์คงมาถึงกาลอวสาน จึงพากันขนของอพยพมาจากเมือง แต่พวกเขาไม่อยากทิ้งนครแห่งโลหะนี้ไป พวกเขาคิดว่าหากยังคงอยู่ใกล้ๆนครแห่งความมั่งคั่งนี้ พวกเขาอาจได้กลับมาครอบครองมันอีกครั้ง ดังนั้นแล้วจึงได้มีการสร้างเมืองเอดจ์ขึ้นที่ชานเมืองมิดการ์

ถนนเส้นหลักของเมืองเอดจ์ ตัดตรงออกมาจากมิดการ์เขต 3 และเขต 4 มาทางตะวันออก ตัวเมืองถูกสร้างขึ้นบนถนนเส้นนี้และขยายไปทางตะวันตกเฉียงเหนือ เมื่อมองไกลๆจะดูเหมือนเมืองใหญ่ แต่จริงๆแล้วตึกส่วนใหญ่ในเมืองนี้ถูกสร้างขึ้นจากขยะของมิดการ์ เมืองจึงเต็มไปด้วยกลิ่นเหล็กและสนิม
 

จอห์นนี่เปิดร้านบนถนนเส้นหลัก เป็นร้านเล็กๆมีโต๊ะเก้าอี้ไม่กี่ตัวและทำอาหารพื้นๆ ร้านนี้ชื่อจอห์นนี่เฮเว่น ซึ่งคล้ายกับชื่อร้านอาหารที่เคยตั้งอยู่ในสลัมเขต 7 ที่ชื่อเซเว่นเฮเว่น ที่นั่นมีสาวเสิร์ที่จอห์นนี่หลงรักชื่อทีฟา

หลายเดือนต่อมาหลังเขต 7 ถูกทำลาย ทีฟาเปิดร้านเซเว่นเฮเว่นขึ้นอีกครั้งที่เมืองเอดจ์ ขณะผู้คนต่างนั่งหมดอาลัยตายอยากทีฟาพยายามจะตั้งต้นใหม่ นั่นเป็นแรงผลักดันให้จอห์นนี่ทำในสิ่งเดียวกัน และทำให้ทีฟาเป็นผู้หญิงในอุดมคติสำหรับเขาเลยทีเดียว

"ฉันจะใช้ชีวิตแบบทีฟา แต่ยังไงล่ะ? รู้แล้ว ฉันเปิดกิจการมั่งดีกว่า ฉันจะมอบความหวังให้ผู้คนที่สิ้นหวัง"


นั่นคือจุดเริ่มต้นของจอห์นนี่เฮเว่น เขามักเล่าเรื่อง "การกำเนิดใหม่ของจอห์นนี่" ให้ลูกค้าฟังบ่อยๆ พอได้ฟังแล้วหลายๆคนอยากเจอทีฟาตัวจริงจึงเดินทางไปที่เซเว่นเฮเว่น และก็กลายเป็นลูกค้าขาประจำของเธอไป จอห์นนี่ที่ไม่ได้รู้เรื่องอะไรก็ยังเปิดร้านอาทิตย์ละ 6 วันต่อไป และตั้งหน้าตั้งตาคอยลูกค้าที่จะมาฟังเรื่องราวอันเต็มไปด้วยความรักและความหวังของเขา

ลูกค้าคนหนึ่งเดินเข้ามา เขาเป็นเด็ก ทั้งที่ปกติเด็กจะไม่มาเดินแถวนี้คนเดียว เด็กคนนี้คือเดนเซล เด็กน้อยคนสำคัญสำหรับจอห์นนี่ เพราะเป็นเด็กที่อยู่กับทีฟาจอห์นนี่จึงทุ่มบริการหนูน้อยแบบสุดใจ

จอห์นนี่     "สวัสดี เดนเซล"   จอห์นนี่พูดพร้อมโค้งให้ แต่เดนเซลแค่เหลือบไปมองแล้วก็เดินไปนั่งโต๊ะตัวในสุด
         
               "มานั่งใกล้ๆหน่อยสิ"

เดนเซล     "ไม่เอา ผมมีนัด"

 

"เขามีนัด? เดทงั้นเหรอ? แต่เขายังเด็กอยู่เลยนา.... เอ้อ เอาไงก็เอาเหอะ ฉันจะคอยดูแลเขาเอง ถือเป็นบริการพิเศษแล้วกัน"
 


จอห์นนี่     "เดทเหรอ? โชคดีนะ"

เดนเซล     "เอากาแฟ"


"เขาทำเป็นไม่สนใจฉันเรอะ? อ้อ คงอายละสิ"
 
จอห์นนี่     "อยากพูดอะไรก็ตะโกนออกมาเลยก็ได้ ฉันมีเรื่องเก่าๆจะเล่าเยอะนา รู้ไหมตอนเนี้ยนะ..."

ทันใดนั้นเดนเซลก็ลุกขึ้น เขาโมโหเหรอ? จอห์นนี่เห็นเดนเซลจ้องไปที่ประตู ชายใส่สูทเดินเข้ามา "ยินดีต้อนรับ" จอห์นนี่หันไปทักทายลูกค้า ชายผู้นี้คือรีฟ อดีตพนักงานชินระ จอห์นนี่เพิ่งเคยพบเขาเป็นครั้งแรก ตอนนี้เขาเป็นผู้นำ WRO (องค์กรฟื้นฟูโลก) ว่ากันว่าเขาไปที่ไหนที่นั่นก็มีแต่กลิ่นของความตาย

"คนระดับนี้มาทำอะไรที่ร้านฉันนะ?"


รีฟเดินดูรอบๆสักนิดตามความเคยชินแล้วก็นั่งลงที่โต๊ะเดนเซล จอห์นนี่นึกขึ้นได้ว่ารีฟอาจชวนเดนเซลเข้าร่วมกองกำลัง เขาคิดว่าจะต้องห้ามไม่ให้มันเกิดขึ้นในร้านเขาให้ได้ไม่งั้นคงมองหน้าทีฟาไม่ติดแน่ แต่ก็ได้แค่ยืนเงียบขณะมองมาที่รีฟ

รีฟ           "ขอกาแฟถ้วยนึงนะ"  รีฟพูดเสียงเนิบๆ

จอห์นนี่     "ได้เลยครับ"    จอห์นนี่ตอบแล้ววิ่งไปหลังเคาน์เตอร์  "ไอ้หมอนี่ท่าจะรับมือยาก"

เดนเซลประหลาดใจที่ผู้นำ WRO มาสัมภาษณ์เขาด้วยตนเอง เขาได้แค่ยืนตะลึงจนไม่ทันได้เอ่ยคำทักทาย

รีฟ           "นั่งสิ"

เดนเซลกลับเข้าสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง ก่อนจะนั่งแบบเก้ๆกังๆด้วยความประหม่า

รีฟ           "เอาละเดนเซล ฉันมีเวลาไม่มาก เรามาเข้าเรื่องกันเลยดีกว่า ประการแรก ตอนนี้เราไม่เหมือนเดิมแล้วนะ เราไม่รับคนสุ่มสี่สุ่มห้าแล้ว ถ้าเธอแค่อยากเป็นอาสาสมัครช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองก็ไปคุยกับเจ้าของที่ดู ตอนนี้ WRO เป็นกองกำลัง"

เดนเซล     "ครับท่าน ผมเตรียมใจไว้แล้วครับ"

รีฟ           "เตรียมใจเหรอ....เอาละ ก่อนอื่นช่วยเล่าภูมิหลังของเธอให้ฟังหน่อยสิ"

เดนเซล     "ภูมิหลังผมเหรอ? ผมเพิ่งจะ10ขวบเองนะ...."

รีฟ           "ฉันรู้ แต่10ปีมานี้ก็ต้องผ่านอะไรมาบ้างสิ ถูกไหม?"

 
caseofdenzel05
 

 
เดนเซลเป็นลูกชายคนเดียวของอาเบลพนักงานหน่วยธุรกิจที่สามของชินระ และโคลเอ้แม่ศรีเรือนผู้มีมนุษยสัมพันธ์ดี พวกเขาทั้งสามคนอาศัยอยู่ในอาคารของชินระในเขต 7 ชั้นบน อาเบลเติบโตมาในหมู่บ้านยากจนแต่ก็ภูมิใจที่สามารถมาถึงจุดนี้และมีครอบครัว บนเมืองชั้นบนได้ แต่เขาอยากไปไกลยิ่งกว่านี้ เขาตั้งใจว่าจะต้องไปอยู่ในเขตที่หรูหราอย่างเขต 3 ให้ได้ เมื่อเดนเซลอายุได้ 7 ปีอาเบลได้เลื่อนเป็นหัวหน้าแผนก ซึ่งก็หมายถึงเขาสามารถเข้าไปอยู่อาศัยในเขต 5 ได้แล้ว พอรู้ข่าว ทั้งโคลเอ้และเดนเซลก็เตรียมฉลองโดยแต่งบ้านสวยๆและเตรียมอาหารหรูๆไว้ต้อน รับอาเบลกลับบ้าน มื้อนี้พวกเขาคุยกันอย่างสนุกสนานอาเบลเป็นพ่อที่มีอารมณ์ขัน วันนี้เดนเซลได้ฟังเรื่องราวชีวิตจากพ่อของเขา

อาเบล       "เดนเซล ลูกโชคดีนะที่เกิดเป็นลูกพ่อ ถ้าเกิดในสลัมละก็ ลูกคงต้องกินเนื้อหนูแทนเนื้อไก่"

เดนเซล     "พวกเขาไม่มีไก่กินเหรอฮะ?"

อา เบล      "มีสิ แต่พวกเขาไม่มีปัญญาซื้อ เขาไม่รู้จะเอาอะไรยาท้อง เลยต้องเอาหอกไล่จับหนูมากิน ....หนูสกปรกสีเทาๆน่ะ"

เดนเซล     "ยี้ ...น่าขยะแขยง"

อาเบล       "รสชาติมันเป็นยังไงน่ะเหรอ ...อืม...."


อาเบลพูดจบก็ชำเลืองไปที่โคลเอ้ โคลเอ้ชี้ไปที่จานของเดนเซล "อร่อยไหม เดนเซล" เดนเซลตกใจเลยเอาอาหารในจานตัวเองเทียบกับของพ่อและแม่ดู พ่อก้มหน้ากลั้นหัวเราะ แล้วเดนเซลก็คิดถึงคำที่แม่เคยพูดว่า หากปราศจากรอยยิ้มแล้วชีวิตก็ไร้ความหมาย พ่อแม่หลอกให้เขาตกใจเล่นอีกแล้ว

เดนเซล     "เพราะงี้ไงผมถึงไม่ค่อยอยากเชื่อพ่อแม่!"


 
รีฟ            "พ่อแม่อะไรใจร้ายจัง"

เดนเซล     "พวกเขาชอบแหย่ผมเล่น ผมไม่ว่าหรอก"

รีฟ            "จะบอกอะไรให้นะ เท่าที่ฉันรู้ ในสลัมเขาไม่ได้กินหนูกัน เพราะหนูในสลัมตอนนั้นน่ะมัน...."

เดนเซล     "ผมรู้ ผมรู้ดีน่า"

รีฟ            "เหรอ? เกิดอะไรขึ้นล่ะ?"

เดนเซล     "....เรื่องมันยาวครับ"


 
 
ขณะที่เดนเซลเฝ้าบ้าน อาเบลโทรเข้ามา

อาเบล       "แม่อยู่ไหน?"   น้ำเสียงเขาฟังดูเครียดๆ

เดนเซล     "แม่ไปซื้อของ"

อาเบล       "ถ้ากลับมาแล้วบอกให้รีบโทรมาเลยนะ เอ้อช่างเถอะ เดี๋ยวพ่อโทรไปเองดีกว่า"


 

"ผมรู้ว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่ ถึงจะกังวลแต่ผมคงทำอะไรไม่ได้ ผมดู TV รอแม่กลับมา มีข่าวเรื่องการระเบิดเตามาโคของอวาลันช์เมื่อวันก่อน จะเป็นเรื่องนี้หรือเปล่านะ? ...แต่มันก็ไม่ได้เกี่ยวกับผมหรือแม่สักหน่อย"

สักพักก็มีคนกลับมาบ้าน ไม่ใช่แม่แต่เป็นอาเบล

อาเบล       "แม่อยู่ไหน?"

เดนเซล     "ยังไม่กลับเลยฮะ"

อาเบล       "เดี๋ยวพ่อออกไปตามแม่ก่อนนะ"


พูดยังไม่ทันจบดีอาเบลก็รีบวิ่งออกจากบ้านไป เดนเซลตามไปด้วยความสงสัย พอมาถึงย่านร้านค้า พวกเขาก็พบโคลเอ้ยืนคุยอยู่กับคนขายเนื้อ อาเบลรีบฉุดเธอกลับมาบ้านโดยไม่ทันพูดอะไร เดนเซลได้ยินพ่อแม่เถียงกันก็รู้สึกไม่ดี

โคลเอ้       "ปล่อยนะ นี่มันเรื่องอะไรกัน?"

อาเบลพยายามควบคุมอารมณ์แล้วเล่าให้โคลเอ้ฟัง

อาเบล       "เขต 7 กำลังจะถูกทำลาย เราต้องรีบหนีไปบ้านใหม่ของเราในเขต 5 เดี๋ยวนี้เลย"

โคลเอ้       "พวกเขาจะทำลายที่นี่เหรอ?"

อาเบล       "พวกที่ทำลายเตามาโค ตั้งใจจะทำลายเขต 7 ต่อ"


เดนเซลสังเกตเห็นสีหน้าพ่อแม่คงไม่ได้ล้อเล่น "จริงเหรอเนี่ย?" เดนเซลคว้ามือพ่อแม่ไว้ "เรารีบไปกันเถอะฮะ" แต่พวกเขาไม่ยอมขยับไปไหน

โคลเอ้       "เราจะหนีไปแบบนี้ไม่ได้นะ ต้องบอกให้เพื่อนบ้านรู้ก่อน"

อา เบล       "ไม่มีเวลาแล้วโคลเอ้ และนี่ก็เป็นข่าวลับจากชินระ ฉันอุตส่าห์ฝ่ากฎบริษัทเอามาบอกเธอทั้งที่เป็นถึงหัวหน้าแผนกแล้วนะ"


โคลเอ้สะบัดมืออาเบลออกแล้วหันไปพูดกับเดนเซล

โคลเอ้       "ไปกับพ่อนะ เดี๋ยวแม่จะตามไป ไม่เป็นไรหรอก"    โคลเอ้บีบมือเดนเซลไว้แน่นแล้วหันหลังวิ่งออกไป

อาเบล       "เฮ่!"

อาเบลวิ่งตามไปสักพักก็หยุด เดนเซลเห็นพ่อของเขาลำบากใจก็เสียใจที่พ่อตามแม่ไปไม่ได้เพราะห่วงเขา

อาเบล       "เดนเซล เราไปเขต5กัน"

เดนเซล     "ไม่เอา! เราต้องตามแม่ไป!"

อาเบล       "แม่ไม่เป็นไรหรอก เธอเป็นเสาหลักครอบครัวนี่นา"


ชายตัวสูงคนหนึ่งลากกระเป๋าสัมภาระขณะเดินมายังรอยต่อระหว่างเขต 7 และเขต 6 อาเบลตะโกนเรียกเขาให้วิ่งมาหา

ชายตัวสูง  "คุณยังอยู่แถวนี้อีกเหรอครับ? พวกเติร์กเคลื่อนไหวแล้วนะ พวกนั้นวางระเบิดไว้แล้ว เพื่อนๆผมก็หนีออกไปกันหมดแล้ว"

เดนเซลเคยฟังแม่เล่าเรื่ององค์กรชินระ ซึ่งมีกลุ่มเติร์กคอยจัดการงานสกปรกทุกประเภท
 

"ที่ว่าเติร์กวางระเบิดไว้แล้วนั่นหมายความว่าไงนะ? เติร์กคืออวาลันช์เหรอ?"
 


ขณะกำลังสงสัยเรื่องที่สองคนนี้คุยกัน เดนเซลเงยหน้าขึ้นเห็นพ่อมองมา

อาเบล       "คุณช่วยพาเด็กคนนี้ไปเขต 5 ได้ไหม? ไม่เกะกะหรอก"

เดนเซล     "ไม่เอา! "

อาเบล       "เดี๋ยวพ่อจะไปตามแม่กลับมา ลูกไปกับคุณอาร์คัมก่อนนะ"

อาร์คัม      "เราไปด้วยกันเถอะ"

อาเบล       "สะดวกคุณไหม อาร์คัม? "

อาร์คัม      "ได้เลยครับท่าน"

อาเบล       "ตึกของบริษัทในเขต 5 เลขที่ 38 นะ นี่กุญแจ ฝากลูกชายด้วยล่ะ"


อาเบลเอากุญแจออกจากกระเป๋าเสื้อมอบให้เดนเซล

เดนเซล     "พ่อ...."

อาเบล       "พ่อซื้อ TV มาใหม่ จอเบ้อเริ่มเลย ไปดู TV คอยเราที่นั่นก่อนนะ"


เขาลูบหัวแล้วส่งเดนเซลให้อาร์คัม ก่อนวิ่งเข้าไปในเขต7

อาร์คัม      "ไปกันเถอะ ฉันชื่ออาร์คัม เป็นลูกน้องของพ่อเธอ ยินดีที่ได้รู้จักนะ"

เดนเซลจะวิ่งออกไปแต่อาร์คัมห้ามไว้

อาร์คัม      "ฉันเข้าใจความรู้สึกเธอดี แต่ฉันขัดคำสั่งพ่อเธอไม่ได้ ตอนนี้เราไปเขต5กันก่อน จากนั้นเธอจะเอาไงต่อก็เรื่องของเธอตกลงไหม?"

 

ในบ้านใหม่ที่เขต 5 ไม่มีอะไรนอกจากกล่องใบเบ้อเริ่มที่มี TV เครื่องใหญ่อยู่ อาร์คัมยก TV ออกมาต่อสายแล้วเปิดดูข่าว มีแค่การรายงานเรื่องการระเบิดเตามาโคเขต 1 ที่ดูมาหลายรอบแล้ว เดนเซลสงสัยว่าเมื่อไหร่อาร์คัมจะไปเสียที

เดนเซล     "ผมหิวแล้ว"

อาร์คัม      "งั้นเดี๋ยวฉันไปหาอะไรมาให้กิน"


ทันใดนั้นบ้านเกิดสั่นสะเทือน ได้ยินเสียงระเบิดดังมาจากที่ไหนสักแห่ง อาร์คัมเปิดประตูได้ยินเสียงบดโลหะดังมาแต่ไกล "คอยอยู่นี่นะ" อาร์คัมวิ่งออกจากบ้านไป ขณะที่เดนเซลกำลังจะวิ่งตามไปก็มีข่าวด่วนพิเศษใน TV

"บนจอภายภาพเมืองกำลังถูกทำลาย ถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามันคือเขต 7 ที่เราเพิ่งจะออกมาเมื่อไม่กี่ชม.ก่อน แต่ผมแทบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่เห็น"
 


ภาพบนจอเปลี่ยนไป โฆษกรายงานว่า "นี่คือสภาพปัจจุบันของเขต 7" ไม่มีเขต 7 อีกต่อไปแล้ว เดนเซลรีบวิ่งออกจากบ้าน บนถนนผู้คนต่างโกลาหลตะโกนกันว่าต่อไปคงเป็นเขต 5

"ผมไม่รู้ว่าวิ่งมาได้นานแค่ไหน จนกระทั่งมาถึงขอบเมืองของเขต6 พวกทหารกั้นรั้วไว้ ผมชะเง้อมองลงไปดูเขต 7 ไม่มีอะไรเหลืออีกแล้ว พอมองไปไกลๆตอนนี้ มองเห็นได้ถึงขอบเขต 8 เลย"

 
caseofdenzel06

 
ทหาร        "เฮ้ย! มันอันตรายนะ"

               "บ้านหนูอยู่ไหน?"


เดนเซลชี้ไปยังที่ๆตอนนี้ว่างเปล่า

ทหาร        "ฉันรู้ ...แย่จริงๆนะ"   เขาพูดด้วยน้ำเสียงเห็นใจ

               "แล้วพ่อแม่หนูล่ะ"

เดนเซลชี้ไปยังที่ว่างเปล่าที่เคยเป็นเขต 7 อีกครั้ง ทหารคนนั้นถอนหายใจออกมาแล้วพูดกับเดนเซล

ทหาร        "เป็นฝีมืออวาลันช์ อย่าลืมนะเมื่อหนูโตชึ้นเมื่อไหร่ ล้างแค้นพวกมันเลย"

เขาจับเดนเซลหันกลับไปเขต6แล้วบอกให้กลับไป เดนเซลเดินแบบไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเสียงอึกทึกของผู้คนที่วิ่งหาที่หลบภัยหรืออะไรก็แล้วแต่

"จะให้ผมไปที่ไหนล่ะ? พ่อครับ! ที่นี่ปลอดภัยจริงเหรอ? แม่ครับ!  ไอ้พวกอวาลันช์ ฉันจะไม่ยกโทษให้พวกแกเด็ดขาด ฃินระมัวทำอะไรอยู่นะ? พ่อ! แม่! อยู่ที่ไหนกัน?"

 

เสียงอันโศกเศร้าของเด็กคนหนึ่ง ดังขึ้นเหมือนจะสะท้อนอยู่ในใจตลอดไป พอเขารู้สึกว่ามันเป็นเสียงของเขาเองนี่นาก็หมดแรงเดินต่อ แล้วน้ำตาก็ไหลออกมา
   
 


Episode 1-2


 
เดนเซล     "จริงๆเป็นฝีมือชินระใช่ไหมครับ?"

รีฟ            "ใช่"


รีฟเบือนหน้าหนี เขาไม่อยากให้เดนเซลเห็นสีหน้าเขาตอนนี้

รีฟ            "ถ้าเธอแค้นก็มาลงกับฉันได้เลย"

เดนเซลส่ายหน้าปฏิเสธ



 
 
"วันนั้นเป็นวันอาทิตย์ พอตื่นขึ้นผมก็รู้สึกตัวว่านอนอยู่ที่บ้านใหม่ในเขต5 บนฟูกที่เมื่อวานยังไม่มีเลย"

ข้างๆหมอนมีขนมปังไส้ครีมและโน้ตเขียนถึงเขาอยู่

"ฉันอยู่ที่ทำงาน สักพักจะแวะไปหา อย่าออกไปไหนไกลล่ะมันอันตราย เพราะตอนนี้ทุกคนสติแตกกันไปหมดแล้ว ที่สำคัญถ้าเธอออกไปฉันคงหาเธอไม่เจอ เธอเป็นคนสำคัญมากนะ

.ล. ฉันยืมฟูกมาจากบ้านข้างๆ อย่าลืมเอาไปคืนด้วยนะ

อาร์คัม"


 

"TV ฉายภาพเขต 7 ถูกทำลายหลายรอบ ชินระก็ประกาศว่ามิดการ์ปลอดภัยแล้วๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า พ่อแม่ผมคงไม่รอดแล้ว ถึงพวกเขาจะบอกว่าปลอดภัยก็เถอะ ผมจะไม่เชื่อพ่อแม่อีกแล้ว ผมอยากรู้ว่าหากเรื่องราวจบลงและทุกคนกลับมาอยู่อย่างสงบสุขแล้วผมจะเข้ากับ พวกเขาได้รึเปล่านะ?"

 

ขณะที่เดนเซลกำลังจะกิน ขนมปัง ครีมก็ไหลออกมาข้างนอก เขาหงุดหงิดมากเลยเขวี้ยงขนมปังใส่ TV และออกมาข้างนอก ข้างนอกเงียบสงัด เขามองเห็นตึกชินระสูงตระหง่านอยู่ใจกลางมิดการ์ก็เริ่มมีความหวัง เขาคิดว่าพ่อกับแม่อาจปลอดภัยและไปที่นั่น ตอนนี้พ่อแม่อาจมีงานยุ่ง บริเวณนี้เป็นเขตที่อยู่อาศัยของชินระ อาจมีคนรู้จักพ่อของเขา

ถึงปกติจะคุยกับคนแปลกหน้าไม่เก่ง แต่ตอนนี้เดนเซลต้องพยายามคุยดู เขาเดินไปบ้านข้างขวามือของบ้านเขา กดกริ่ง แต่ไม่มีใครมาเปิด เขาลองเปิดประตูดูมันไม่ได้ล็อค "ฮัลโหล?" แต่ก็ไม่มีเสียงตอบ ดูเหมือนอาร์คัมจะยืมฟูกมาจากบ้านนี้ ยืมมาโดยไม่ขอก่อนนี่เรียกว่าขโมยไหมนะ? ชีวิตตอนนี้เป็นแบบนี้ไปซะแล้วเหรอ? ทำอะไรก็ได้เพื่ออยู่รอดแม้กระทั่งขโมยของเหรอ?

ทั้งบ้านหลังซ้าย บ้านตรงข้าม บ้านด้านหลัง ไม่มีใครอยู่เลย เขาไปถึงบ้านหลังที่อยู่ไกล บนประตูของบ้านหลายหลังเขียนเบอร์ติดต่อไว้สำหรับผู้สนใจเข้ามาอยู่อาศัย
 

"ไม่มีใครอยู่เลย พ่อแม่คงไม่ได้อยู่ที่ทำงานหรอก ถ้าอยู่ก็คงมาหาผมแล้ว พ่ออาจมาไม่ได้ แต่แม่ต้องมาแน่"

 

ความหวังที่มีอยู่ริบหรี่ค่อยๆพังทลายลง เดนเซลเดินมาจนหลงทาง เขาจำไม่ได้ว่าเดินมาไกลแค่ไหน และจะไปที่ไหน น้ำตาไหลออกมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ด้วยความโกรธมากกว่าความเศร้า เขาโกรธแค้นอวาลันช์และโลกที่ทอดทิ้งเขา เดนเซลทรุดตัวนั่งลงบนถนน แต่ก็ไปทับอะไรเข้า มันเป็นโมเดลจำลองเรือเหาะของชินระ คงมีเด็กที่ไหนทำตกไว้ เดนเซลหยิบของเล่นมาขว้างด้วยความโมโห

เดนเซล     "ฉันเกลียดทุกอย่าง!"

ของเล่นลอยไปโดนกระจกแตกเข้า มีเสียงผู้หญิงตะโกนออกมา "ใครทำ?"

เขาหันไปหาต้นเสียง เป็นผู้หญิงมีอายุเดินออกมาจากบ้านด้านหน้าเขา เธอไม่ถึงกับแก่มากแต่เดนเซลดูไม่ออกว่าอายุเท่าไหร่กันแน่

ผู้หญิง       "ฝีมือเธอเองเรอะ!?"  เธอถามพร้อมถือของเล่นชิ้นนั้นโบกไปมา เดนเซลพยักหน้า

               "ทำไม....."    พอเห็นเดนเซลเธอก็เปลี่ยนอารมณ์แล้วถาม

               "เธอร้องไห้เหรอ?"

เดนเซลส่ายหน้าปฏิเสธ แต่น้ำตาก็ไหลไม่หยุด

ผู้หญิง       "บ้านเธออยู่ไหน?"

เขาพยายามจะตอบแต่ก็ไม่รู้จะตอบยังไง แล้วก็ร้องไห้ต่อ

ผู้หญิง       "เข้ามาก่อนสิ"   เสียงเธออ่อนลง

ในบ้านของรูวี่ตกแต่งไว้เรียบร้อยต่างจากบ้านของเดนเซล ผนังติดวอลเปเปอร์, หมอนอิงกับโซฟาเข้าชุดกัน ในห้องแม้จะตกแต่งด้วยดอกไม้ปลอม แต่ก็ดูอบอุ่น เดนเซลนั่งลงบนโซฟาขณะมองดูรูวี่เอาเศษกระจกใส่ถุง

รูวี่            "ฉันจะให้ลูกชายฉันซ่อมตอนเขากลับมา ไม่เป็นไรหรอก"

เดนเซล     "ผมขอโทษครับ คุณรูวี่ .... "

รูวี่            "ถ้าตอนปกติฉันล่ามโซ่เธอส่งให้พ่อแม่แล้วนะเนี่ย"

เดนเซล     "พ่อกับแม่ผมเค้า...."

รูวี่            "อย่าบอกนะว่า พวกนั้นทิ้งเธอไป? "

เดนเซล     "พวกท่านอยู่ในเขต 7"


รูวี่หยุดทำงาน เดินมาที่โซฟาแล้วกอดเดนเซลไว้ เมื่อเดนเซลสงบลงเธอก็พูดต่อ

รูวี่            "งั้นเราไปหาบ้านเธอกัน"

ทั้งสองเดินจูงมือกันออกไป เมื่อตอน 6 ขวบ เดนเซลเลิกเดินจูงมือพ่อแม่เพราะคิดว่ามันน่าอาย แต่ตอนนี้เขาไม่คิดแบบนั้นแล้ว ที่สำนักงานใหญ่พวกพนักงานชินระกำลังวุ่นวายกับการจัดหาที่อยู่อาศัย ครอบครัวพวกเขาส่วนใหญ่จะอพยพไปอยู่ที่จูน่อนหรือคอสตาเดลโซล รูวี่บอกว่าเหตุผลที่เธอยังอยู่ที่นี่เพราะไม่ว่าเธอจะถูกส่งไปที่ไหน เธอก็อยู่ตัวคนเดียว เธอเลยคิดว่าอยู่บ้านตัวเองดีที่สุด พวกเขาเดินมาจนพบบ้านของเดนเซล

เดนเซล     "ขอบคุณครับ คุณรูวี่ ผมขอโทษ....เรื่องหน้าต่างนะ"

รูวี่พยักหน้าเบาๆ เดนเซลเดินไปเปิดประตู รูวี่ได้มองลอดเข้าไปดูข้างในบ้านแวบหนึ่ง

รูวี่            "แล้วเธอจะทำไงต่อ จะอยู่ในบ้านเปล่าๆหลังนี้นะเหรอ?"

               "ไปอยู่บ้านฉันดีกว่า ฉันไม่ว่าหรอก"


แล้วเดนเซลก็เริ่มใช้ชีวิตอยู่กับรูวี่ ตอนเตาหมายเลข 1 ถูกทำลาย รูวี่รู้ดีว่าตอนนี้เป็นช่วงวิกฤติ เธอจึงซื้ออาหารกระป๋องตุนไว้ในห้องเก็บของที่สวนหลังบ้านเธอ รูวี่ระลึกอยู่เสมอว่า "เตรียมรับมือไว้ทุกสถานการณ์แล้วจะไม่มีคำว่าเสียใจ"

วันหนึ่งๆ รูวี่ทำหลายอย่าง ทั้งทำความสะอาดบ้าน, ทำความสะอาดบริเวณบ้าน, เตรียมอาหาร, เย็บผ้า เดนเซลเองก็ช่วยหลายอย่างยกเว้นเย็บผ้า ก่อนนอนพวกเขาจะอ่านหนังสือ รูวี่ชอบอ่านหนังสือยากๆตัวหนังสือเยอะๆ พอเดนเซลถามว่าอ่านแล้วสนุกเหรอ? เธอมักตอบว่า "ไม่สนุกเลยสักนิด" เธอเล่าว่าหนังสือพวกนี้เป็นของลูกชายเธอ เธอคิดว่าถ้าอ่านแล้วอาจจะเข้าใจงานที่ลูกชายเธอทำขึ้นมาบ้าง และเธอก็อ่านมา 5 ปีแล้ว "อ่านแล้วมันง่วงดี" พูดจบเธอก็หัวเราะ รูวี่เอาสมุดรวมภาพมอนสเตอร์ให้เดนเซลอ่าน เธอคิดว่าอาจจะมีประโยชน์ หนังสือเล่มนี้เป็นของลูกชายเธออีกเหมือนกัน เขาอ่านหนังสือเล่มนี้ตอนอายุเท่าเดนเซล ข้างในเป็นภาพสีประกอบคำอธิบายเกี่ยวกับมอนสเตอร์ และมีคำเตือนเขียนคล้ายๆกันทุกหน้า "ถ้าพบมอนสเตอร์ให้วิงหนีไปหาผู้ใหญ่ทันที"
 

"ถ้าผมพบมอนสเตอร์ผมจะบอกให้คุณรูวี่รู้ แต่ดูท่าคุณรูวี่คงสู้ไม่ไหวหรอก ผมจะสู้ได้ไหมน้า ถ้าสู้ผมจะชนะหรือเปล่า อืม... บางทีผมอาจจะไม่มีประโยชน์เลยก็ได้ พ่อแม่ถึงได้ทิ้งผมไป"
 
 

 
แดดเริ่มแรงขึ้นจนเดนเซลเหงื่อแตกพลั่ก

รีฟ            "โอย....ทำไมร้อนจัง"   เขาหันไปบอกจอห์นนี่  "เอาน้ำให้หน่อยสิ"

เดนเซลหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาเช็ดเหงื่อ

รีฟ            "ลายน่ารักจัง เหมือนของผู้หญิงเลย"

เดนเซล     "ใช่ครับ ของผู้หญิง"
   เขาพูดขณะมองที่ผ้าเช็ดหน้า

 

 
 
เช้าวันหนึ่งขณะตื่นนอน รูวี่เอาเสื้อมีปกให้เดนเซลใส่

รูวี่            "สวมดูสิ ฉันเย็บให้เธอเองเลยนะ แต่ฉันมีเพียงแค่ลายเดียวน่ะ"

เสื้อตัวนี้เป็นสีขาว มีลายดอกไม้สีชมพูดอกเล็กๆกระจายอยู่เต็ม ถ้าเป็นปกติเดนเซลคงไม่ยอมใส่ แต่ตอนนี้เขาใส่มันด้วยความยินดี

รูวี่            "มีผ้าเหลืออยู่นิดหน่อย ฉันเลยทำนี่ไว้ด้วย เอ้า"

เธอยื่นผ้าเช็ดหน้าลายเดียวกับเสื้อให้เขา เธอคงเหลือผ้าเยอะเพราะทำผ้าเช็ดหน้าไว้หลายผืน เดนเซลหยิบไปผืนหนึ่งแล้วพับใส่กระเป๋ากางเกง
 
caseofdenzel10
 

รูวี่            "เอาล่ะ...."  รูวี่หุบยิ้ม

               "จะพูดว่าไงดี.....? "

เดนเซลอยากรู้ว่าเธอกำลังจะบอกอะไร เขากลัวว่าเธอจะพูดสองคำที่เขากลัวมากที่สุด "ออกไป" พอคิดแบบนั้นแล้วก็นึกกลัวขึ้นมา

"เราออกไปข้างนอกกันไหม?" เธอถาม รูวี่เดินออกทางประตูครัวไปยังสวนหลังบ้าน เดนเซลยืนอยู่สักพักก็เดินตามไป เขาข้ามกองดินแล้วมายืนข้างๆรูวี่ที่แหงนมองฟ้าอยู่ เดนเซลเงยมองตามขึ้นไปก็เห็นจุดดำขนาดใหญ่บนท้องฟ้า สีมันตัดกับสีครามของฟ้าตอนกลางวันจนทำให้ทุกอย่างดูมืดมนหดหู่

รูวี่            "ฉันก็ไม่ค่อยรู้หรอกนะ เห็นเขาเรียกมันว่าเมเทโอ เขาว่ากันว่าถ้ามันลงมาชนดวงดาวเมื่อไหร่ทุกอย่างก็จบ"

รูวี่หยิบอาหารกระป๋องจากห้องเก็บของมา 2 กระป๋องยื่นให้เดนเซลอันนึง

รูวี่            "เราจะรับมือกับมันยังไงดี....? "

 

วันนั้นรูวี่ไม่ได้ทำความสะอาดหรือเย็บผ้าเหมือนที่เคย เธอนั่งบนโซฟาคิดเรื่อยเปื่อย และก็เหมือนจะคิดอะไรขึ้นมาได้ เธอโทรไปหาใครบางคน แต่ดูเหมือนเขาจะไม่รับโทรศัพท์ คิดว่าเธอคงโทรหาลูกชาย เดนเซลกำลังทำความสะอาดทั้งในและนอกบ้าน เขานึกภาพไม่ออกว่าหากเมเทโอตกลงมาจะเป็นอย่างไร ยิ่งไปกว่านั้นเขามีเรื่องอยากถามคุณรูวี่แต่ก็ไม่ได้ถาม

พอฟ้ามืด เหมือนรูวี่จะเริ่มกลับเข้าสู่ความเป็นจริง แล้วเริ่มทำความสะอาด "เดนเซล เธอทำความสะอาดภาษาอะไร มัวแต่ใจลอยอยู่นั่นแหละ" นั่นหละ รูวี่คนเดิมกลับมาแล้ว ตกกลางคืน พวกเขานั่งอ่านหนังสือด้วยกัน ขณะตาจ้องอ่านหนังสืออยู่รูวี่ก็พูดขึ้น

รูวี่          "เดนเซล ฉันจะรอความตายอยู่ที่นี่ หากดวงดาวถูกทำลายขึ้นมาจริงๆจะอยู่ที่ไหนก็ไม่ต่างกัน ยังไงก็ต้องตายอยู่ดี แล้วเธอล่ะจะเอายังไง? ถ้าเธอจะไปที่อื่นก็เอาอาหารกระป๋องติดตัวไปได้เลยนะฉันไม่ถือ เธอยังเด็กแต่เธอก็ควรจะมีสิทธิ์เลือกว่าจะตายที่ไหน"

เดนเซลคิดหนัก เรื่องนี้ และเขาก็ถามคำถามที่อยากถามรูวี่ทั้งวันออกมา "ผมขออยู่ที่นี่ได้ไหมครับ?" รูวี่เงยหน้าขึ้นมองเดนเซลแล้วยิ้ม หลังจากนั้นมารูวี่ก็ใช้ชีวิตอย่างปกติ นอกเสียจากว่าเธอไม่ทำความสะอาดบ้านแล้วยกให้เป็นหน้าที่ของเดนเซล เขาเห็นชินระกำลังติดตั้งปืนใหญ่ที่ตึกชินระด้วย

เดนเซล     "ชินระคอมพานีจะจัดการกับเมเทโอครับ"   เขาบอกรูวี่

รูวี่            "บริษัทนี้ทำอะไรไม่เคยได้เรื่องหรอก"   รูวี่ส่ายหน้าแบบเซ็งๆ

 

สุดท้ายแล้ว ปืนใหญ่ได้ยิงเพียงครั้งเดียวแล้วก็พังลงมา จากนั้นตึกชินระก็ถูกมอนสเตอร์ทำลาย เดนเซลอยากรู้ว่าเป็นมอนสเตอร์พันธุ์ไหนกันนะที่ถึงขนาดทำลายตึกได้ แต่ก็ไม่ได้ถามรูวี่ เมเทโอกำลังลอยอยู่บนฟ้าและจะตกลงมาทำลายดวงดาวอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เขตอื่นๆก็กำลังวุ่นวายโกลาหลแต่เดนเซลยังคงใช้ชีวิตอยู่อย่างปกติ

บางครั้งเขานึกอยากพบพ่อแม่ขึ้นมาแล้วก็ร้องไห้ รูวี่จะเข้ามากอดและปลอบโยนเขา ขณะหลับอยู่บนเตียงกับรูวี่เขาไม่กลัวหากจุดจบมาถึง แต่สิ่งที่ทำลายวันอันแสนสงบสุขของเดนเซลไม่ใช่เมเทโอหากแต่เป็นธารลำแสงสีขาวอันน่าสะพรึงกลัว ไลฟ์สตรีมเป็นพลังฝ่ายดีที่ช่วยทำลายเมเทโอ แต่มันกลับนำหายนะมาสู่มวลมนุษย์ในขณะเดียวกัน

 

ในวันแห่งชะตากรรม เดนเซลและรูวี่กำลังจะนอน ด้านนอกมีเสียงเหมือนลมกรรโชกแรง แต่เสียงของมันดังและแรงเกินกว่าจะเป็นเสียงลม ตัวบ้านสั่นไปทั้งหลัง เสียงเบาลงไปพักหนึ่งและก็ดังขึ้นมาอีกเหมือนรถไฟขบวนใหญ่กำลังแล่นผ่านหลังบ้านเขา เดนเซลพยายามอุดหู หลับตา ขณะรูวี่กอดเขาไว้แน่น แต่หลังจากมันดังอยู่ 5 นาทีเดนเซลก็ทนไม่ไหว "คุณรูวี่ ผมกลัว!"

ขณะรูวี่ลุกจากเตียงไปเปิดไฟ ผ้าม่านที่หน้าต่างเปลี่ยนเป็นสีขาวจ้า ฉายลายดอกไม้บนผ้าม่านเป็นเงารูปดอกไม้บนผนัง แสงลอดผ่านหน้าต่างเข้ามา เหมือนบ้านเป็นเรือรั่วที่กำลังจะจมลงในทะเลลำแสงนี้ "ไปหลบใต้ผ้าห่มก่อน!" รูวี่ออกจากห้องนอน แรงสั่นสะเทือนแรงขนาดสั่นโลกได้ทั้งใบ แรงยิ่งกว่าตอนถล่มเขต 7 หลายเท่า ดอกไม้ประดิษฐ์ตกจากตู้วางของลงมาที่พื้น เดนเซลรีบลงจากเตียงตามรูวี่ไป รูวี่เห็นหน้าต่างห้องนั่งเล่นบานที่เดนเซลเคยทำแตกตอนนี้มีเพียง แผ่นพลาสติกปิดไว้ แต่แผ่นพลาสติกก็กำลังจะขาดออก รูวี่รีบเข้าไปจับแผ่นพลาสติกไว้เพื่อไม่ให้แสงลอดเข้ามา

รูวี่            "เดนเซล กลับเข้าไปซะ!"

เดนเซลตัวสั่นทำอะไรไม่ถูก เหมือนเท้าเขาถูกติดกาวไว้กับพื้น เขาคิดว่าเป็นเพราะเขาทำกระจกแตก และนี่เป็นความผิดเขา ขณะเดนเซลเข้ามาหารูวี่รีบผลักเขากลับไปห้องนอน ทันใดนั้นแผ่นพลาสติกก็เปิดออก และธารลำแสงก็ลอดเข้ามาในห้อง รูวี่ปิดประตูห้องนอนบังเดนเซลไว้แล้วเธอก็กรีดร้อง


caseofdenzel13
 
เดนเซล     "คุณรูวี่!"   เดนเซลพยายามดึงประตูให้เปิด

รูวี่            "เดนเซล, อย่า!"

เดนเซล     "แต่ว่า....!"   เดนเซลดึงประตูอีก

รูวี่ยืนหันหลังพิงประตู เธอดึงประตูไม่ให้เดนเซลเปิดเข้ามา "อย่าเข้ามานะ เดนเซล!" ธารลำแสงจำนวนมากพุ่งทะลุร่างของรูวี่ สะท้อนไปมาอยู่ในห้องเหมือนงูกำลังเลื้อย มันไม่มีในสมุดรวมมอนสเตอร์

"จะให้หนีไปบอกผู้ใหญ่เหรอ.... ไม่สิ...ผมนี่แหละจะสู้กับมัน"


"คุณรูวี่!" ขณะเดนเซลตะโกน ลำแสงพุ่งเข้าโจมตีรูวี่ เธอร้องครวญคราง แสงม้วนตัวเป็นคล้ายเชือกเส้นเล็กๆลอดผ่านช่องว่างระหว่างรูวี่และกำแพงเข้า มาในห้องนอน เดนเซลเห็นร่างของรูวี่ล้มลงบนพื้นแว่บหนึ่งก่อนจะโดนแสงวิ่งผ่านทะลุไป
 
  


Episode 1-3

 
"ผมไม่แน่ใจว่าหมดสติไปนานแค่ไหน พอฟื้นขึ้นมาก็เห็นสภาพในบ้านเละไปหมดเลย คุณรูวี่นอนอยู่บนพื้น พอผมเรียกชื่อเธอก็ลืมตาขึ้นมาแล้วพูดว่าดีใจที่ผมปลอดภัย เธอบอกเธออยากกุมมือผม ดูเธอไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเลย เธอเล่าว่ามือลูกชายเธอใหญ่จนกุมได้ไม่รอบ เธอถามผมว่าข้างนอกเป็นไงบ้าง ตอนนั้นยังเช้าอยู่ สภาพข้างนอกก็เละไม่ต่างจากในบ้านเลย"


เดนเซลก้มหน้าลงแล้วเล่าเรื่องต่อ รีฟหลับตาลงพร้อมฟังไปด้วย

 



พอออกไปข้างนอกแล้ว เดนเซลหันกลับไปดูบ้านของรูวี่ กระจกหน้าต่างแตกหมดทุกบาน พอดูรอบๆแล้วกระจกบ้านอื่นก็แตกหมดเหมือนกัน บางหลังหลังคาเปิด บางหลังผนังทะลุก็มี เขาจึงคิดว่าถึงเขาไม่ทำกระจกแตกก็คงไม่ต่างกัน แต่เขาก็โมโหตัวเองที่คิดแบบนั้น
 

"รูวี่พยายามปกป้องผมจนเป็นแบบนี้ แต่ผมกลับพูดเหมือนไม่ใช่ความผิดตัวเอง"

 

เขาเดินกลับเข้าไปในบ้าน รูวี่ยังคงนอนอยู่บนพื้น ใบหน้าเธอสงบเหมือนคนนอนหลับ เขารู้สึกไม่ดีจึงพยายามเขย่าไหล่เธอให้ตื่น

เดนเซล     "คุณรูวี่...."

แต่เธอก็ไม่ตื่นขึ้นมา

เดนเซล     "คุณรูวี่!"   เขาเขย่าตัวเธอแรงขึ้น

มีของเหลวสีดำไหลออกมาจากมุมปากของรูวี่ เขาคิดว่านี่เป็นลางบ่งว่าคนๆนี้ตายแล้ว จึงรีบเช็ดออก ของเหลวสีดำเริ่มไหลออกจากผมของเธอ เดนเซลไม่เคยเห็นของแบบนี้มาก่อน และหวาดกลัวมากที่เห็นเลือดสีดำไหลออกจากร่างคนที่เมื่อครู่ยังมีชีวิตอยู่ เขารีบวิ่งออกจากบ้าน "พ่อครับ! แม่ครับ! ช่วยด้วย!" เขาวิ่งและตะโกนเรียกทุกๆชื่อเท่าที่จะรู้จักจนไม่มีเสียงให้ตะโกน เขาหมดแรงล้มลงและร้องไห้

"อย่าร้อง ไอ้หนู" ชายเจ้าของเสียงจับหน้าเขาเชิดขึ้น เดนเซลเห็นลักษณะชายที่อยู่ตรงหน้าเขานี้เป็นผู้ชายหนวดดำเข้ม ด้านซ้ายเป็นรถบรรทุกที่ขนคนมาประมาณสิบคน
 
caseofdenzel15
 
ชายมีหนวด "เธอมาทำอะไรแถวนี้ ไม่ได้ฟังข่าวทีวีที่บอกให้ไปหลบภัยที่สลัมเหรอ?"

เดนเซล     "ผมไม่ได้ดูทีวี"

ชายมีหนวด "โธ่เอ้ย! เหมือนไอ้พวกนี้เลย เอาแต่พูดว่า "โอ้ ฉันไม่รู้" "ฉันคิดว่าจะปลอดภัย""


คนบนรถทำหน้าสลด เพราะพวกเขาตัดสินใจผิดไปแล้ว

ชายมีหนวด "ครอบครัวเธออยู่ไหน?"

เดนเซล     "คุณรูวี่อยู่ข้างในครับ"

 

 
 
เดนเซล     "เขาชื่อกัสคิน เขาฝังคุณรูวี่ไว้ที่สวนหลังบ้านเธอ พวกคนบนรถก็ลงมาช่วยด้วย เราเอาชุดที่เธอเย็บกับหนังสือของลูกชายเธอฝังไว้กับเธอด้วย ทุกคนแปลกใจที่ขุดดินได้ลึกมาก เพราะปกติถ้าขุดลึกขนาดนี้ต้องเจอเพลทแล้ว"

รีฟ           "บางทีเธออาจคิดจะปลูกผักหรือต้นอะไรสักอย่างก็ได้ พวกที่มาจากชนบทเขาทำกัน"

เดนเซล     "ผมว่าเธออยากปลูกดอกไม้"


เดลเซลตอบขณะมองลายดอกไม้บนผ้าเช็ดหน้าผืนนั้น

เดนเซล     "บ้านของเธอเต็มไปด้วยดอกไม้ปลอมและผ้าลายดอกไม้ แต่ผมคิดว่าเธอคงอยากได้ของจริง เธอเข้ามาอยู่ในมิดการ์ตั้งแต่ตอนที่ลูกชายเธอทำงานให้ชินระ เธอคงสะสมดินจนได้มากขนาดนี้แล้วก็กำลังจะ.... อุ้ย! โทษครับผมนอกเรื่องไปไกลแล้ว"

รีฟพยักหน้าแล้วฟังต่อ
  

 
รถบรรทุกมาหยุดที่สถานีที่เคยใช้เป็นสถานีรถไฟของคนในสลัม

กัสคิน       "รถไฟเลิกวิ่งแล้ว และก็ไม่มีใครคิดจะซ่อมด้วย แต่โชคดีที่ทางรถไฟนี้ยังเชื่อมต่อทางลงใต้เพลทให้เราเดินลงไปสลัมได้"

คนบนรถ   "มิดการ์ปลอดภัยหรือครับ?"

กัสคิน       "ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันน่าจะปลอดภัยกว่าข้างบนนี้จริงไหม?" 

"อย่าเผลอตกลงไปล่ะ ไม่มีใครมีเวลาช่วยเธอหรอก พยายามระวังตัวเองด้วย"
   เขาหันไปพูดกับเดนเซล

รถบรรทุกแล่นจากไปเหลือไว้แค่คนกลุ่มหนึ่งที่สถานี พลังทำลายจากแสงสีขาวส่งผลกระทบต่อมิดการ์ทั้งหมด คนที่บ้านพังไปแล้ว และคนที่คิดว่าเมืองอาจถล่มลงมาต่างพากันหนีออกมาจากที่นี่ แต่หลายๆคนก็ลังเลที่จะตามทางรถไฟลงไปใต้ดิน แทนที่จะยินดีที่เมเทโอถูกทำลายกลับมีแต่เสียงบ่นตำหนิชินระที่ให้คำแนะนำ เรื่องที่อยู่อาศัยมาไม่ดี เดนเซลคิดกับตัวเองว่าดีนะที่พ่อไม่ได้อยู่ที่นี่ ผู้คนแบ่งเป็นสองกลุ่ม คือกลุ่มที่แยกกลับบ้านตัวเองและกลุ่มที่จะลงไปใต้ดิน ไม่มีใครรู้ว่าอะไรรออยู่ข้างหน้านอกจากกัสคินผู้นำทาง เราต้องเชื่อฟังที่เขาสั่งอย่างเลี่ยงไม่ได้

เดนเซลมองลอดช่องว่าง ระหว่างเสาค้ำและรางรถไฟลงไปเห็นพื้นด้านล่าง เขาคิดว่าสูงขนาดนี้ถ้าตกไปคงไม่รอดแน่ เลยกลัวขึ้นมา ทางเดินวนรอบนอกมิดการ์ลงมาถึงด้านล่างเป็นเส้นทางยาวมาก แต่เดนเซลสนใจเรื่องก้าวไม่ให้พลาดมากกว่าเรื่องระยะทาง ด้านหน้าเขาพวกคนที่ลงมาก่อนหน้ามาหยุดยืนอยู่เหมือนมีอะไรมาขวางให้ไปต่อไม่ได้ เดนเซลมุดเข้ามาดูก็เห็นเด็กผู้ชายอายุประมาณ3ขวบขาติดอยู่กับทางรถไฟ เดนเซลสงสัยว่าเด็กคนนี้มีอะไรเหรอ? ถ้าไม่มีใครคิดจะช่วยก็เดินอ้อมไปก็ได้นี่นา แล้วก็มีเสียงตะโกนถามเด็กคนนั้น "แม่หนูอยู่ไหน?" ทันใดนั้นเด็กก็ร้องออกมา "แม่จ๋า!" เด็กคนนั้นเสียการทรงตัวและกำลังจะตกลงไป เดนเซลรีบวิ่งไปคว้าไว้ พวกคนที่มุงอยู่ต่างตะโกน

ชาวบ้าน1 "ระวัง! เด็กนั่นติดเชื้อนะ!"

ชาวบ้าน2 "อย่าไปจับเขา เธอจะติดไปด้วย!"

เดนเซลไม่รู้ว่าพวกนี้พูดเรื่องอะไร เด็กคนนี้ก็ดูปกติดีนี่ เพียงแค่ตกใจกลัว

ชาวบ้าน3 "เฮ้ย! เกะกะ!"

พอได้ยินแบบนี้เข้าเดนเซลก็อยากจะตวาดกลับแต่ก็ไม่รู้ว่าใครพูด เขาจับเอวเด็กน้อยไว้แล้วดึงขึ้นมานั่งบนแผ่นเหล็กที่ยึดรางรถไฟกับเสาค้ำ เขาสงสัยว่าทำไมไม่มีใครช่วยเด็กคนนี้นะ? ขณะเดียวกันก็สังเกตเห็นหลังของเด็กชุ่มไปด้วยของเหลวสีดำ เขารีบผละมือออก มันเหมือนกับ.... สิ่งที่ออกจากร่างของรูวี่ ตอนนี้พวกชาวบ้านพากันเดินต่อ เด็กคนนี้ร้องไห้ "เจ็บจัง...แม่จ๋า..."

เดนเซลนึกถึงที่มีคนตะโกนว่า "เธอจะติดเชื้อไปด้วย" แล้วก็อยากจะร้องไห้และโมโหเด็กคนนี้ด้วย แต่เขาก็คิดถึงรูวี่ เขาจำได้ดีว่าตอนที่ของเหลวสีดำไหลออกจากร่างเธอ เขากลัวมากจนต้องวิ่งหนี ทั้งที่รูวี่ดีกับเขามาก เขารู้สึกผิดและคิดว่าหากช่วยเด็กคนนี้ได้คงเป็นการไถ่โทษให้เขาได้ เขาอยากให้รูวี่ยกโทษให้ คิดดังนั้นแล้วเดนเซลก็นั่งลงข้างๆเด็กน้อย

เดนเซล     " เจ็บตรงไหน?"

เด็ก           "ที่หลังฮะ"

เดนเซล     "ตรงนี้ใช่ไหม?"

เด็ก           "ฮะ"


เขากดลงบนหลังหนูน้อยเบาๆ ตอนที่เขาปวดท้อง แม่จะใช้มือสัมผัสท้องเขาให้หายปวดได้ เขาลองทำแบบเดียวกันดูเผื่อว่าจะสามารถใช้เวทมนต์แบบเดียวกับแม่ของเขาได้ เดนเซลพยายามไม่คิดถึงของเหลวสีดำ หนูน้อยที่เจ็บปวดอยู่ค่อยๆหลับไป สามชม.ผ่านไปเดนเซลก็ยังพยายามช่วยหนูน้อยอยู่ ผู้คนต่างเดินผ่านไปโดยไม่สนพวกเขาแล้ว

"เด็กนั่นตายแล้วหละ"

เดนเซลเงยหน้าขึ้นเห็นผู้หญิงหน้าตาอิดโรยมีทารกผูกอยู่กับหน้าอกด้วยสายรัด เธอจูงเด็กผู้หญิงมาอีกคนหนึ่งอายุราวๆเดนเซล

เด็กผู้หญิง "นั่นเสื้อผู้หญิงนี่ แปลกคนจัง แม่จ๋า เราไปกันเถอะ"

แม่ของเด็กคนนั้นถอดแจ็คเก็ตสีฟ้าของลูกสาวออกยื่นให้เดนเซล "เอานี่ห่อเด็กนั่นไว้เถอะ" เด็กผู้หญิงใส่เสื้อถึงสามชั้น เธอทำสีหน้าอ่อนโยนขณะพูดกับเดนเซล

เด็กผู้หญิง "เอาไปสิ เสื้อพี่สาวฉันเอง น่าจะตัวใหญ่พอนะ"

เดนเซลไม่ได้ยินเสียงเด็กน้อยที่นอนอยู่ข้างๆเขาหายใจอีกต่อไปแล้ว เด็กผู้หญิงเอาแจ็คเก็ตจากมือแม่เธอไปคลุมให้เด็กน้อยคนนั้น

เด็กผู้หญิง "เด็กคนนี้ไปอยู่กับพี่สาวแล้วหละ"

เดนเซล     "ขอบคุณนะ"
   เขาพูดคำๆนี้ออกมาจากใจ

แม่ของเด็กสาวเดินออกไป เธอก็รีบตามไปจูงมือแม่ มือของสองแม่ลูกนี้มีจุดสีดำเหมือนกับเดนเซล ขณะเดนเซลสังเกตเห็นเป้รูปโชโคโบที่เด็กสาวสะพายอยู่ เขาก็นึกถามตัวเอง

"เราจะต้องตายใช่ไหม? เราจะต้องร้องไห้ด้วยความเจ็บปวดตอนของเหลวสีดำไหลออกจากร่างเราใช่ไหม? เราต้องล้มป่วยแล้วก็ตายใช่ไหม?"

 

 
 
รีฟ            "ตอนนั้นเราไม่รู้เรื่องจีโอสติกม่าเลย คนที่โดนไลฟ์สตรีมเข้าจะมีของเหลวสีดำไหลออกจากร่างแล้วก็ตาย มีคนบอกว่ามันติดต่อโดยการสัมผัส ที่จริงแล้วมันคือเจตนารมณ์ของเจโนวาที่ปนเข้ามาในไลฟ์สตรีม แล้วมัน.... เอ้อ ช่างเหอะ ถึงรู้เราก็ทำอะไรไม่ได้"

เดนเซล     "ยิ่งเป็นแค่เด็กด้วยแล้วก็"

รีฟ            "ใช่"

เดนเซล     "ตอนอยู่บนรางรถไฟผมก็คิด ...ผมคิดอยากจะเป็นผู้ใหญ่ ผมอยากรู้เรื่องอะไรๆมากกว่านี้"

 

 
 
พวกเขามาถึงสถานีรถไฟในสลัม คนบางส่วนยังคงเดินต่อไปเหมือนกับว่าถ้าหยุดเดินแล้วจะต้องตาย เดนเซลก็คิดอยู่ว่าเขาควรเดินไปที่อื่นต่อ หรือหยุดรอที่สถานีเผื่อพบคนรู้จัก แต่ความหิวก็ทำให้เขาตัดสินใจได้ไม่ยาก เขาเดินดูรอบๆสถานีหาร้านขายอาหาร และมาเจอกองสัมภาระจำนวนมากวางอยู่ มีคน3-4คนกำลังขุดหลุม มีกลิ่นเน่าลอยมากับลม ชายคนหนึ่งแบกร่างของหญิงสาววางลงในหลุม ที่นี่คงเป็นสุสานชั่วคราว เขาไม่อยากเห็นภาพแบบนี้ เลยคิดจะหันหลังกลับแต่ก็เหลือบไปเห็นเป้ที่คุ้นตาในกองสัมภาระมีรูปโชโคโบ ติดอยู่ ไม่รู้อะไรมาดลใจเขาให้เปิดเป้นั้นดู ข้างในมีคุ้กกี้และช็อคโคแลต เดนเซลรู้ว่าเด็กผู้หญิงเจ้าของเป้ได้จากไปแล้วและเธอคงอยากมอบสิ่งนี้ให้ เขา

"กินซะสิ" เป็นเสียงของกัสคิน เดนเซลดีใจมากที่พบเขาอีกครั้ง

กัสคิน       "กลัวติดโรคเหรอ? แค่ข่าวลือน่า อาจจะจริงก็ได้แต่ยังไงตอนนี้ก็เป็นแค่ข่าวลือ ถ้าเธอไม่กินก็ต้องตายอยู่ดี จะตายทั้งทีให้ท้องอิ่มไว้ก่อนดีกว่า จริงไหม?"   พูดจบกัสคินก็เอื้อมไปหยิบคุ้กกี้มากิน

               "อร่อยดี ยังกินได้อยู่แฮะ ถ้าไม่กินเดี๋ยวก็บูดหรอก เสียของเปล่าๆ เอ้า! กินซะ"

เดนเซลหยิบคุกกี้มากินก็รู้สึกว่าอร่อยดี เขาหันไปที่เป้ใบนั้นแล้วพูด "ขอบคุณมากนะ" กัสคินลูบหัวเดนเซล ถึงคนๆนี้จะไม่เหมือนพ่อเขาเลยสักนิด แต่พอทำแบบนี้แล้วก็ทำให้เดนเซลคิดถึงพ่อขึ้นมา
 
caseofdenzel19
 

ที่นี่เขาได้เพื่อนใหม่มากมาย ทุกคนเป็นเด็กที่สูญเสียพ่อแม่ไป กัสคินเองก็ได้เพื่อนมากขึ้น เขาเรียกเด็กพวกนี้ว่าไอ้พวกสมองกลวง คิดอะไรไม่เป็น อยู่นิ่งๆไม่ได้ พวกเขาเป็นกลุ่มแรกที่รับทำงานฝังศพ ตอนนี้เดนเซลเริ่มยิ้มออก เขารู้สึกเหมือนได้กลับเป็นคนเดิมอีกครั้ง แต่สองอาทิตย์ผ่านไป คนจากมิดการ์ที่ย้ายมาหลบภัยที่นี่เริ่มน้อยลงเรื่อยๆจนไม่มีงานให้พวกเขาทำ เดนเซลนอนไม่หลับบ่อยๆเพราะกังวลเรื่องอนาคต
 

ชายคนหนึ่งเดินไปมาเหมือนหาอะไรอยู่ สักพักเขาก็เดินเข้ามาหาเดนเซลและพวกเพื่อนๆ

"ฉันอยากได้ท่อเหล็ก ยิ่งเยอะยิ่งดี"

caseofdenzel21
 
พวกเด็กๆ หาท่อเหล็กในซากของเขต 7 ได้มาหลายท่อ  ชายคนนั้นกล่าวขอบคุณแล้วเดินจากไป หลังจากนั้นเขากลับมาหลายรอบ รอบที่สามเขาพาพรรคพวกที่ต้องการหาของมาด้วย เขาบอกว่าจะสร้างเมืองใหม่ทางตะวันออกของมิดการ์และกำลังหาวัสดุอยู่ เขาให้พวกเด็กๆช่วยโดยแลกอาหารกับของที่หามาได้ เดนเซลและเพื่อนๆเรียกตัวเองว่า "คณะสำรวจเขต 7" มีงานเข้ามามากมาย พวกเขาภูมิใจที่หาเลี้ยงตัวเองได้เหมือนผู้ใหญ่และสนุกกับการทำงาน บางคืนพวกเขาคิดถึงพ่อแม่แล้วก็ร้องไห้ แต่ก็ช่วยกันให้กำลังใจซึ่งกันและกัน พวกเขามีคำพูดติดปากว่า "ร่วมเป็นร่วมตาย" แต่มันก็ไม่ได้ยืนยาวเหมือนที่เดนเซลและพวกเพื่อนๆคิด

เช้าวันหนึ่งกัสคินรวมกลุ่มพวกผู้ใหญ่และเด็กๆเข้าเป็นทีมสำรวจเดียวกัน กัสคินเสนอว่าให้พวกเขาเข้าไปสร้างบ้านในเมืองใหม่แล้วย้ายไปอยู่ที่นั่นกันดีกว่า ทุกคนเห็นด้วยกับความคิดนี้ แต่เด็กคนหนึ่งก็สังเกตเห็นกัสคินเอามือลูบหน้าอกตัวเองขณะพูด

เด็ก          "คุณกัสคิน เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?"

กัสคิน       "ก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่


กัสคินปลดกระดุมเสื้อโค้ทออก เสื้อของเขาชุ่มไปด้วยของเหลวสีดำ

 

 
 
เดนเซล     "เดือนต่อมาคุณกัสคินก็ตาย ทุกคนช่วยกันฝังเขาในที่พิเศษแยกจากศพอื่นๆ คนดีๆต้องมาตายไปเรื่อยเลย ว่าไหมครับ?"

รีฟเห็นด้วย เดนเซลยกกาแฟขึ้นจิบ เขาเกลียดกาแฟเพราะมันขม แต่ก็ต้องกินเพื่อให้ดูเป็นผู้ใหญ่

 


Episode 1-4
 

พวกผู้ใหญ่ไปกันหมดแล้ว เหลือแค่กลุ่มเด็กๆประมาณ 20 คน พวกเขาได้ยินว่าการสร้างเมืองใหม่ที่ชื่อเอดจ์กำลังไปได้สวย และมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสำหรับพวกเด็กๆด้วย แต่พวกเขาไม่ต้องการพึ่งพาผู้ใหญ่ หากไปที่นั่นพวกผู้ใหญ่คงทำเหมือนพวกเขาเป็นเด็กๆและคอยตามดูแล พวกเขาไม่ต้องการแบบนั้น แต่ก็อดใจได้ไม่นานเพราะอุปกรณ์ที่คนงานในเมืองเอดจ์ใช้นั้นทำงานได้เร็ว กว่าพวกเด็กๆที่ใช้แต่แรงกายมาก ในขณะที่เดนเซลและพวกเพื่อนๆช่วยกันย้ายกรอบเหล็กเล็กๆอันหนึ่ง รถเครนหนึ่งคันสามารถย้ายบ้านได้ทั้งหลังในเวลาเท่ากัน จำนวนสมาชิกในหน่วยสำรวจเขต7จึงลดลงเรื่อยๆ คืนหนึ่งเดนเซลลองนับดูก็พบว่าเหลือคนในทีมแค่ 6 คน รวมทั้งตัวเขา เขาไม่อยากให้มีใครหนีไปอีกแต่ก็โทษพวกนั้นไม่ได้ พวกเด็กๆต่างหิวและไม่มีที่ไป จากนั้นไม่นานเด็กผู้หญิงที่เหลือแค่คนเดียวก็ไป เธอบอกว่าจะไปเมืองเอดจ์

 


 
 
แล้วเดนเซลก็หัวเราะ

รีฟ           "มีอะไรตลกเหรอ?"    รีฟทำหน้าสงสัย

เดนเซล     "ผมไม่ชอบยัยนั่น เด็กผู้ชายคนอื่นๆก็เหมือนกัน เราคิดว่าเด็กผู้หญิงเป็นตัวถ่วง เราก็แค่อยากให้มีเด็กผู้หญิงในกลุ่มบ้าง แต่พอเธอออกไปแล้ว เราที่เหลือต้องทำงานเยอะขึ้นอย่างเห็นได้ชัดเลย"

คราวนี้รีฟหัวเราะขึ้นมาบ้าง

เดนเซล     "แต่ตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว ตอนนั้นผมไม่ดีเองที่ชอบหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง"

รีฟ           "งั้นก็น่าจะดีกับเธอหน่อยนะ"

เดนเซล     "เธอไม่อยู่แล้วนี่ครับ"


 

 
 
พอตื่นขึ้นมา เดนเซลก็รู้สึกว่าในทีมสำรวจเหลือเพียงเขากับเด็กผู้ชายอีกคนที่ชื่อริค

เดนเซล     "ได้มาแต่น็อตกับหลอดไฟเพียบเลยเนอะ"   (หัวเราะ)

ริค            "พวกนี้ขายได้ไม่เท่าไหร่หรอก"

เดนเซล     "เดี๋ยวฉันไปซื้อข้าวแป๊บนะ แล้วจะดูเผื่อมีงานอะไรทำด้วย"

ริค            "งั้นคอยเดี๋ยว" 
  ริคเดินไปที่ๆพวกเขาซ่อนเงินไว้แล้วเปิดดู

                "เฮ้ย! เดนเซล! เงินเราถูกขโมย!"

เงินทั้งหมดที่พวกเขาเก็บไว้หายไปหมด พวกเขาเหลือเงินไม่พอซื้อเศษขนมปังด้วยซ้ำ ขณะอึ้งกันอยู่พักใหญ่ริคก็พูดขึ้น

ริค            "ท่าทางเราต้องเข้าเมืองเอดจ์กันแล้วหละ เขาว่าที่นั่นแจกข้าวฟรี"

เดนเซล     "เราแพ้แล้วสินะ"

ริค            "ใช่ แต่ฉันยอมให้ผู้ใหญ่โอ๋เราแบบเด็กทารกก็ยังดีกว่าอดตาย"
 
caseofdenzel23
 
แล้วเดนเซลก็นึกถึงเรื่องที่พ่อเคยเล่าขึ้นมาได้

เดนเซล     "เราจับหนูกินกันไหม? "

ริค            "หนู? "

เดน เซล     "อื้อ พ่อฉันเคยเล่าให้ฟังว่าคนในสลัมเนี่ยจนมากๆ พวกเขาเลยจับหนูกินกัน ไอ้พวกหนูสกปรกสีเทาๆนี่แหละ นี่ก็ในสลัม และเราก็จน..."

ริค            "นายเอาจริงเหรอ? "

เดนเซล     "ใช่สิ ฉันจะกินหนู ฉันจะเป็นเด็กสลัม"


ริคค่อยๆปัดฝุ่นตามเสื้อและกางเกงเขา เดนเซลก็ลุกขึ้นแล้วมองไปรอบๆ

เดนเซล     "ก่อนอื่นต้องหาหอกก่อน"

ริค            "อยากได้หอกก็ทำเอาเองแล้วกัน  ...ฉันเป็น ‘เด็กสลัม’ ที่นายว่ามาตั้งแต่เกิดแล้ว แต่ฉันไม่ได้กินหนูนะเว้ย"


เดนเซลรู้ตัวว่าเขาพูดอะไรผิดไป

เดนเซล     "....ฉันไม่รู้มาก่อน"

ริค            "พอรู้แล้วจะทำไงล่ะ? เลิกคบฉันเหรอ?"

เดนเซล     "ม...ไม่ใช่นะ!"

ริค            "พวกนายไม่เข้าใจหรอก นายมันลูกผู้ดีที่โตมาบนเพลท ...เห็นเราเป็นอะไรเนี่ย? ตัวกินหนูเหรอ?"

เดนเซล     "ริค...."

ริค            "รู้ไว้เลย พวกหนูแถวเนี้ยปนเปื้อนสารพิษที่พวกนายทิ้งมาจากข้างบนทั้งนั้น ไม่มีใครโง่ไปกินเข้าหรอก"


พอพูดจบริคก็เดินจากไป
 

 
 
เดนเซลถอนหายใจ

เดนเซล     "ผมไม่ได้ตามเขาไป คิดว่าเขาคงไม่ยกโทษให้ผมหรอก..."

รีฟ            "ทำไมคิดงั้นล่ะ?"

เดนเซล      "ผมมันเด็กที่โตมาบนเพลท ที่อยู่แถวๆสถานีหรือในเขต7ได้ก็เพราะผมคุ้นเคยกับมันแล้ว แต่ผมไม่อยากไปสลัมเขตอื่น ผมอยากไปเมืองเอดจ์ แต่คิดว่าที่นั่นก็คงเหมือนสลัมนั่นแหละ ที่จนๆสกปรกๆ"

รีฟ            "แล้วตอนนี้ริคเป็นไงบ้าง?"

เดนเซล     "เขาสบายดี แต่ไม่ยอมพูดกับผม"

รีฟ            "ดีแล้ว อย่างน้อยก็ยังมีโอกาสคืนดีกัน"


 

 
 
เดนเซลกลับมาอยู่ตัวคนเดียวอีกครั้ง เขาเหลาไม้ปลายแหลมเพื่อเตรียมล่าหนู

"พ่อครับ ถึงคนในสลัมเขาไม่กินหนูกันแต่ผมนี่แหละจะกิน ผมไม่มีเงิน ไม่มีงาน แล้วที่นี่มันแย่ยิ่งกว่าสลัมเสียอีก ผมเป็นเด็กเขต7ที่โตมาบนเพลท ในที่แบบนี้ผมคงอยู่ไม่ไหวหรอก"


เดนเซลหมดกำลังใจที่จะอยู่ต่อไป มันเหมือนตอนที่เขต 7 ถูกทำลาย เพียงแต่ตอนนี้เขาไม่มีพ่อแม่, อาร์คัม, รูวี่, กัสคิน, ทีมสำรวจ, ... ไม่มีใครอีกต่อไปแล้ว เขาคิดว่าคงไม่สามารถยิ้มได้อีก

"แม่พูดไว้ว่าไงนะ? หากปราศจากรอยยิ้มแล้วชีวิตก็ไร้ความหมาย... ใช่แล้วครับแม่ พวกหนูสกปรกนี่แหละจะช่วยให้ผมไปสบายเสียที"

 


 
"เฮ้ยๆๆๆ!!" จอห์นนี่ที่ฟังอยู่ด้วยตะโกนขึ้นมาจนเดนเซลสะดุ้ง

เดนเซล     "เฮ้! ตอนนั้นผมคิดแบบนั้นก็จริง แต่ผมไม่ได้ทำ ไม่งั้นคงไม่รอดมาถึงตรงนี้หรอก"

จอห์นนี่     "เออ จริงด้วย"

เดนเซล     "เพราะผมได้พบคนที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยพบมาเลย"

จอห์นนี่     "ในสถานการณ์เลวร้ายสุดๆ แบบนั้นน่ะเหรอ?"

 


 
เดนเซลหาหนูไม่เจอ หลังจากเดินเป็นชม.เขามาถึงโบสถ์ร้างในเขต 5 มีมอเตอร์ไซด์รุ่นที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อนจอดอยู่ด้านหน้า แต่สิ่งที่เขาสนใจมากกว่าคือโทรศัพท์มือถือที่ห้อยอยู่กับมอเตอร์ไซด์ เดนเซลเริ่มยิ้มออก เขาคิดว่าจะขอยืมใช้สักหน่อย เผื่อจะโทรหาใครได้บ้าง เขาลองโทรไปเบอร์บ้านเก่าในเขต7 คิดว่าถ้ามีคนได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังในซากเขต 7 อาจมีใครมารับสาย...ใครก็ได้ แต่ก็ได้ยินแค่เสียงระบบตอบรับ

"ในขณะนี้การให้บริการในเขต 7 ถูกระงับ"

ตอนทำงานกับทีมสำรวจ เดนเซลพยายามตามหาพ่อแม่ของเขาไปด้วยแต่ก็ไม่พบ เขาคิดว่าพ่อแม่คงถูกทับอยู่ใต้ซากเมืองและคงไม่รอดแน่แล้ว

"ในขณะนี้การให้บริการในเขต 7 ถูกระงับ"

ขณะกำลังเงี่ยหูฟังโทรศัพท์ เดนเซลก็เงยหน้ามองด้านบนเป็นเพลทด้านตะวันออกของเขต5 เขาคิดถึงคุณรูวี่ที่หลับอย่างสงบอยู่ด้านบน จนทำให้เขาต้องเหลือตัวคนเดียวแบบนี้

"ในขณะนี้การให้บริการในเขต 7 ถูกระงับ"

เขาวางหู ฝืนใจไม่เขวี้ยงโทรศัพท์ลงพื้น เดนเซลพยายามโทรอีกครั้ง เขาพยายามนึกเบอร์บ้านคุณรูวี่แต่ก็ไม่รู้ตั้งแต่แรกแล้ว เขาเลยลองเปิดดูหมายเลขรายการโทรเข้า แล้วโทรหาเบอร์แรกสุด เสียงกริ่งดังขึ้นและมีเสียงผู้หญิงรับสาย

ผู้หญิง       "คลาวด์ แปลกจังที่เธอโทรมา มีอะไรหรือเปล่า?"

เดนเซลฟังอยู่เงียบๆ

ผู้หญิง       "คลาวด์?"

เดนเซล     "...เปล่า ผมไม่ใช่"

ผู้หญิง       "...นั่นใครเหรอ? นี่เบอร์คลาวด์นี่นา?"

เดนเซล     "ผมไม่รู้..."

ผู้หญิง       "หนูเป็นใครน่ะ?"

เดนเซล     "ผมไม่รู้....ผมไม่รู้จะทำยังไง"
   เดนเซลพูดเสียงสั่น

ผู้หญิง       "...หนูร้องไห้เหรอ?"

น้ำตาไหลอาบแก้มเดนเซล เขาปาดน้ำตาแล้วหลับตาลง ความเจ็บปวดจากอาการป่วยเข้าโจมตีเขาอย่างรุนแรง ร่างกายเดนเซลชาจนทำโทรศัพท์ตกพื้น พอแตะหน้าผากดูก็รู้สึกเหมือนมีของเหลวเหนียวๆ
 

"ไม่นะ ผมไม่อยากตาย!"

 

เขาอยากตะโกนให้ดวงดาว ให้พระเจ้า หรือให้ใครก็ได้ได้ยินและเห็นใจเขา แต่ด้วยความเจ็บปวดนี้ทำให้เขาตะโกนไม่ไหว เดนเซลภาวนาจากก้นบึ้งหัวใจว่าอย่าให้เป็นของเหลวสีดำ เขามองลงไปดูมือตัวเองที่เปื้อนของเหลวบนหน้าผาก
 

เป็นสีดำ

 
caseofdenzel29a
 


เดนเซล     "ผมจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น พอรู้สึกตัวอีกทีก็นอนอยู่บนเตียงแล้ว ทีฟาและมาลีนดูแลผมอยู่ หลังจากนั้น ...ที่เหลือคุณคงรู้แล้วมั้งครับ"

รีฟ           "ก็พอรู้บ้าง"

เดนเซล     "ผมคิดขอบคุณหลายๆคน คุณพ่อคุณแม่, คุณรูวี่, คุณกัสคิน, ทุกคนในทีมสำรวจ, ทุกคนที่ยังมีชีวิตอยู่ตอนนี้, ทุกคนที่จากไปแล้ว, ทีฟา, คลาวด์, มาลีน, แล้วก็....... "


รีฟพยักหน้า

เดนเซล     "ผมอยากเป็นคนที่ช่วยใครๆได้เหมือนคนเหล่านี้ คราวหน้าผมจะปกป้องคนอื่นเอง"

รีฟไม่พูดอะไร

เดนเซล     "รับผมเข้ากองกำลังเถอะครับ"

จอห์นนี่     "อย่ารับ! อย่ารับ! อย่ารับ! อย่ารับ! "

เดนเซล     "เงียบปากไปเลย! "

จอห์นนี่     "เธอยังเด็กอยู่เลยนะ! "

เดนเซล     "ก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย! "

รีฟ           "ไม่"

               "ที่จริงแล้ว ..... WRO ไม่รับเด็ก"

จอห์นนี่     "ฮ่า! เห็นมะ!

เดนเซล     "อ้าว! แล้วทำไมคุณไม่บอกผมตั้งแต่แรกเล่า?

รีฟ           "ฉันเพิ่งตัดสินใจเมื่อครู่นี้เอง หลังจากฟังเรื่องราวของเธอแล้ว เด็กก็มีเรื่องที่เด็กเท่านั้นที่ทำได้ และฉันก็อยากให้เธอทำสิ่งนั้นเพื่อฉัน"

เดนเซล     "...อะไรเหรอครับ? "

รีฟ            "อยู่เป็นแรงใจให้พวกเรา"

เดนเซลรอให้รีฟพูดต่อ แต่รีฟลุกขึ้นเหมือนหมดเรื่องจะพูดแล้ว

รีฟ            "อ้อ แล้วก็...."

เดนเซลมองหน้ารีฟ เขายังมีความหวังว่ารีฟจะเปลี่ยนใจ

รีฟ           "ขอบคุณที่ช่วยดูแลแม่ของฉันนะ"

รีฟดึงผ้าเช็ดหน้าออกจากกระเป๋าหลังเขา เอาให้เดนเซลดู เป็นสีขาวลายดอกไม้
 

"เป็นไปไม่ได้..."

 

 
 
 หลังรีฟเดินออกไปแล้ว จอห์นนี่ก็เริ่มเก็บโต๊ะ เดนเซลนั่งมองผ้าเช็ดหน้าผืนนั้นอยู่นาน จอห์นนี่หันมาคุยกับเดนเซล

จอห์นนี่     "เฮ่! ถ้าเธออยากต่อสู้ละก็ เมื่อไหร่ก็ยังได้จริงไหม? ไม่จำเป็นต้องเข้า WRO หรอก แล้วทำไมเธอถึงอยากเข้าขนาดนี้? "

เดนเซล     "คลาวด์....."

จอห์นนี่     "หมอนั่นทำไมเหรอ? "

เดนเซล     "เขาเคยเข้าร่วมกองทัพเมื่อนานมาแล้ว ทำให้เขาเข้มแข็ง ผมอยากเข้มแข็ง"

จอห์นนี่     "ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว"

เดนเซล     "ยังไง? "

จอห์นนี่     "ไม่จับเป็นต้องถือปืนถือดาบหรอก ในยุคนี้ต้องคนที่สามารถเยียวยาความเจ็บปวดผู้อื่นได้นั่นแหละถึงจะดัง"

เดนเซล     "ผมไม่ได้อยากดังหรืออะไรอย่างนั้น "

เดนเซลคิดถึงผู้คนมากมายที่เคยช่วยเหลือเขามาตลอด ทั้งผู้ชาย ทั้งผู้หญิง ทั้งผู้ใหญ่ ทั้งเด็ก ...ทุกๆคนต่างมอบสิ่งที่เรียกว่าความหวังให้แก่เดนเซล ด้วยวิธีของพวกเขา

เดนเซล     "...ผมอยากจะตอบแทนพวกเขาสักวัน"
 
caseofdenzel

 

จบเรื่องราวของเดนเซล


Web Content by Shiryu
This site is best viewed in Firefox with a resolution of 1024x786